อาชญากรรม

เฟคนิวส์! ตร.ยัน ‘ลูกชิ้นเนื้อเหี้ย’ ไม่มีจริง หลังบุกทลายแก๊งชำแหละ เจอซากอื้อ ส่งขายร้านอาหารป่า

โดย petchpawee_k

2 มี.ค. 2566

575 views

ตำรวจ ปทส. บุกทลายแหล่งชำแหละตัวเงินตัวทองส่งร้านอาหารป่า พร้อมยึดของกลางกว่า 100 ตัว พบทั้งซากและตัวเป็นๆรอเชือด ยืนยัน ไม่ใช่ส่งผลิตทำลูกชิ้น

เมื่อวันที่ 28 ก.พ.66 ที่ผ่านมา ตำรวจ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกอง หรือ ปทส. นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม ร่วมกันจับกุม นายมนต์ อายุ 73 ปี และนายประสิทธิ์ อายุ 67 ปี โดยสามารถจับกุมได้ที่ บริเวณบ้านพักในพื้นที่ ต.บ้านโข้ง อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี


เมื่อตำรวจไปถึงพบนายมนต์ ซึ่งเป็นเจ้าของบ้าน และนายสิทธิ์ ซึ่งเป็นพ่อค้ารับซื้อซากสัตว์ป่า มานั่งรอสินค้า พร้อมกับพบคนงานชายหญิงจำนวน 5 คน กำลังชำแหละตัวเงินตัวทอง โดยการใช้ค้อนเหล็กทุบหัวให้ตาย จากนั้นจะใช้ไฟจากถังแก๊สเผาหนัง โยนซากทับกันไว้เป็นกองใหญ่รวม 59 ซาก ซึ่งกลุ่มคนที่มารับจ้างชำแหละตัวเงินตัวทอง ได้ค่าจ้างวันละ 300 บาท


พร้อมกันนี้ ยังพบตัวเงินตัวทองที่ยังมีชีวิตถูกจับอยู่ในถุงตาข่ายพลาสติกสีฟ้าอีกจำนวน 32 ตัว / เต่านา 20 ตัว / เต่าดํา หรือ เต่ากา 6 ตัว / เต่าหับ 2 ตัว รวมยึดสัตว์ป่าคุ้มครองพร้อมทั้งซากรวม 119 ตัวพร้อมตรวจยึดอุปกรณ์ที่ใช้ในการเผา ชำแหละซากสัตว์ หลายรายการ เช่น ประกอบด้วยมีด จำนวน 14 เล่ม / ขวาน 1 เล่ม / ค้อน จำนวน 2 ด้าม / เครื่องชั่งกิโล จำนวน 1 เครื่อง / ไม้ทุบ จำนวน 1 ด้าม / ถังแก๊สหุงต้ม จำนวน 4 ถัง / พร้อมหัวที่ใช้สำหรับเผาแก๊ส จำนวน 3 หัว


สำหรับพฤติการณ์ดังกล่าว สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งว่า มีกลุ่มบุคคลลักลอบซื้อขายสัตว์ป่าคุ้มครองจำพวกสัตว์เลื้อยคลาน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ประสานกับเจ้าหน้าที่หน่วยสนับสนุนป้องกันและปราปรามที่ 1 (ภาคกลาง) กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ร่วมกันเข้าตรวจสอบบริเวณบ้านพักหลังหนึ่งในพื้นที่ ต.บ้านโข้ง อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี ก่อนตรวจสอบพบ สัตว์ป่าคุ้มครองประเภทสัตว์เลื้อยคลานและซากหลายรายการ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ทำการจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 2 รายข้างต้น


จากการสอบถามคำให้การผู้ต้องหาเบื้องต้น ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยให้การว่ารับสัตว์ และซากสัตว์ของกลางมาจากชาวบ้านในพื้นที่และจังหวัดใกล้เคียง โดยจะมีผู้รวบรวมมาขายให้ จากนั้นผู้ต้องหาจะนำส่งร้านอาหารป่าในพื้นที่ จ.ตราด


 โดยนายมนต์ ให้การว่า ตัวเงินตัวทองและเต่าที่พบเป็นของตน ซึ่งได้รับซื้อมาจากชาวบ้านอีกทีหนึ่ง เพื่อทำการแปรรูปแล้วจำหน่ายให้กับพ่อค้าที่มารับซื้อในกิโลกรัมละ 25 บาท ได้กำไรแค่กิโลละ 5 บาท เบื้องต้น ทราบว่าซื้อไปกินกัน แต่ตนไม่เคยกิน ส่วนเต่าก็ซื้อมาและขายต่อให้พวกที่ชอบทำบุญปล่อยเต่า ขายตัวละ 100–150 บาท


นายมนต์ ยังบอกว่า ก็รู้ว่าผิดกฎหมาย แต่ก็ไม่รู้จะทำอาชีพอะไร มีแค่ทำนาปี ขายข้าวก็ไม่ได้กำไร จึงตัดสินใจทำอาชีพนี้    


ด้านนายสิทธิ์ ซึ่งพบว่าเป็นคนมารับซื้อซากตัวเงินตัวทองที่ชำแหละแล้ว และระหว่างที่จับกุมก็กำลังมาซื้อซากสัตว์เหล่านี้ บอกว่า ซื้อเพื่อนำไปจำหน่ายต่อในราคากิโลกรัมละ 120 บาท แต่ยืนยันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตัวเงินตัวทองและเต่าที่ยังมีชีวิตอยู่


ขณะเดียวกันมีกระแสข่าวว่า ซากตัวเงินตัวทองดังกล่าว ชำแหละเพื่อนำส่งโรงงานทำลูกชิ้นปลา ใน จ.สุพรรณบุรี และพื้นที่ใกล้เคียง


ทีมข่าวได้รับการยืนยันจาก ตำรวจ ปทส.ชุดจับกุม ว่า ไม่เป็นความจริง ซึ่งเพจเฟซบุ๊กของตำรวจสอบสวนกลาง ยังโพสต์ยืนยันเช่นกันว่า ไม่ใช่โรงงานผลิตลูกชิ้น แต่เป็นโรงชำแหละส่งร้านอาหารป่า พร้อมกับทำกราฟฟิกตัวเงินตัวทองใส่แคปชั่นในภาพระบุว่า “ผมไม่ใช่ลูกชิ้นนะคร้าบ”


ทั้งนี้ เจ้าหน้าได้นำตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ส่งพนักงานสอบสวน สภ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายแล้ว ซึ่งพบว่ามีความผิดตาม 2 ข้อหา ตามพ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2562 ฐานความผิด คือ 1.ร่วมกันมีไว้ในครอบครองซี่งสัตว์ป่าคุ้มครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ โดยต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 5 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และ 2.ข้อหาร่วมกันค้าสัตว์ป่าคุ้มครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี และปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ส่วนของกลางทั้งหมด คือ สัตว์ที่ตายแล้วมอบให้เจ้าหน้าที่ไปเผา ส่วนที่เป็นอยู่ จนท.นำไปรักษาและพักฟื้นที่ จ.ราชบุรี และหากพบว่าสัตว์กลับคืนสภาพปกติจึงจะปล่อยกลับสู่ธรรมชาติต่อไป

ขณะเดียวกันจากการที่ตำรวจขยายผลเพิ่มเติมทราบว่า มีการส่งตัวเงินตัวทองและสัตว์อื่นๆมาจาก จ.อ่างทอง / จ.ชัยนาท และ จ.สิงห์บุรี แล้วมารวมที่ จ.สุพรรณบุรี ซึ่งเป็นจุดใหญ่ก่อนที่จะชำแหละ ด้วยการขูดทำความสะอาดภายนอก แล้วลนไฟให้เหลือง ก่อนที่จะล้วงเอาอวัยวะภายในของสัตว์ออกให้หมด พร้อมล้างให้เกลี้ยงแล้วเหลือแต่ตัว


ก่อนที่จะส่งไปให้พ่อค้าแม่ค้าตามร้านอาหารป่าที่ หลายพื้นที่ ใน จ.ตราด  เช่น พื้นที่คลองลึก พื้นที่แสงตุ้ง อ.เขาสมิง และในพื้นที่ อ.เมือง ฯลฯ รวมทั้งโซนตลาดแถบชายแดนภาคตะวันออก เพื่อนำไปประกอบเป็นอาหารป่าขายแก่ผู้ชื่นชอบ

---------------------------------------------------------------

ขณะที่ นายเผด็จ ลายทอง ผอ.สำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กล่าวถึงประเด็นที่โลกออนไลน์ มีการแชร์ข้อมูลว่า อาจมีการนำเนื้อตัวเหี้ยมาทำลูกชิ้นว่า  ยังอยู่ระหว่างการขยายผลร่วมกับตำรวจ บก.ปทส. ซึ่งตอนนี้ยังต้องตรวจสอบข้อมูลว่าเป็นไปได้หรือไม่


นายเผด็จ กล่าวว่า สำหรับเหี้ย เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง และยังไม่มีการอนุญาตให้มีการเพาะเลี้ยง ดังนั้นการจับตัวเหี้ยจึงนำมาจากแหล่งธรรมชาติเท่านั้น ซึ่งต้องขยายผลต่อว่าไปจับมาจากแหล่งไหนบ้าง สำหรับการขยายผลเจ้าของบ้านที่ชำแหละเนื้อเหี้ย รับสารภาพว่าเดิมเขาเป็นแค่คนจับส่ง รวบรวมทีละ 2-5 ตัว และพลิกผันในการชำแหละส่งขายเนื้อให้กับร้านอาหารป่าใน จ.ตราด ราคาพุ่งเป็นกก.ละ 110 บาท


ผอ.สำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า กล่าวอีกว่า ก่อนหน้านี้เคยมีข่าวว่าจะปลดล็อกให้เลี้ยงตัวเหี้ยเชิงการค้า แต่กรมอุทยานฯ ยังยืนยันว่าไม่เคยมีแนวคิดที่จะอนุญาตให้เลี้ยงเหี้ยเชิงการค้าได้ เหตุผลเพราะยังไม่ได้อยู่ในสถานะที่เพาะพันธุ์ตามกฎหมาย การที่เราจะกำหนดสัตว์ชนิดใด ต้องตรวจสอบว่ามีศักยภาพในการเพาะเลี้ยงได้จริง ไม่ใช่มีตามธรรมชาติไปจับมา และต้องมีข้อมูลทางวิชาการรองรับ ตอนนี้ยังไม่มีจำนวนประชากรว่ามีมากน้อยแค่ไหน


นายเผด็จ กล่าวว่า แม้ว่าในกทม.-ปริมณฑล จะพบเห็นได้ทั่วไปในชุมชน และมีน้ำท่วมขัง และมีอาหารชุกชุม และบางส่วนก็ได้รับความเดือดร้อนจากสัตว์เหล่านี้ เพราะเหี้ยเพียง 5-6 ตัวก็ส่งผลกระทบ เพราะเป็นสัตว์ที่กินทั้งซากและของสด และมีการปรับตัวขึ้นต้นไม้ ซุกอยู่บนดินและในน้ำได้ ที่ผ่านมากรมอุทยานฯ ได้รับร้องเรียนให้ไปช่วยจับตัวเหี้ยในชุมชน ที่สร้างความเดือดร้อน กินเป็ด ไก่ แต่ก็ไม่ใช่ว่าใครจะทำร้ายหรือฆ่าได้ มันมีกฎหมายคุ้มครอง


ด้านนายอนันต์ ศรีผุดผ่อง หัวหน้าเขตห้ามล่าสัตว์ป่าบึงฉวาก กรมอุทยานฯ กล่าวว่า คดีดังกล่าวทาง ปทส.ได้ขยายผลแกะรอยมาจากร้านอาหารป่าในพื้นที่จ.ตราด ที่เป็นปลายทางในการสั่งซื้อตัวเหี้ย ชำแหละจากพื้นที่ สุพรรณบุรี เนื่องจากแอบอ้างว่าเป็น "ตัวแลน" อาหารป่าที่คนยังบริโภค มีการแกะรอยตามมาปลายทาง เจ้าของบ้านที่ถูกจับรับสารภาพว่ารับซื้อตัวเหี้ยมีชีวิตในราคา กก.ละ 25 บาท มีหลายขนาด ตั้งแต่ 10-20 กก.และจะชำแหละตามออร์เดอร์ที่สั่งมาจาก จ.ตราด ส่วนใหญ่นำไปทำอาหารป่า และอ้างเป็นเนื้อแลน เป็นสันบ้องส่วนลูกชิ้นยังไม่ชัดเจน


อย่างไรก็ตาม เจ้าของบ้านระบุว่าทำมา 1 ปีแล้วตั้งแต่โควิด และจะส่งไปร้านอาหารป่าใน จ.ตราด ส่วนหนังที่ชำแหละจะเผา และนำไปแอบทิ้งตามข้างทาง  


 สำหรับความผิดในการลักลอบค้าสัตว์ป่า ตามพ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2562 มาตรา 17 ประกอบมาตรา 92 ข้อหา “ร่วมกันมีไว้ในครอบครองซี่งสัตว์ป่าคุ้มครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่” ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 50,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และมาตรา 29 ประกอบมาตรา 89 ข้อหา “ร่วมกันค้าสัตว์ป่าคุ้มครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่” ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี และปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


รับชมผ่านยูทูปได้ที่ : https://youtu.be/rkSmY7cNxoM

คุณอาจสนใจ

Related News