อาชญากรรม

ไล่วงจรปิด แก๊งบุกปล้นกัญชา ผู้เสียหายยันไม่ใช่เอเย่นต์ใหญ่ มีเอกสารจาก สธ.ให้ขายได้ คาดปมเหตุขายทับเส้นกัน

โดย thichaphat_d

18 ต.ค. 2565

133 views

จากกรณีกลุ่มชายฉกรรจ์กว่า 10 คน สวมหมวกโม่ง พร้อมอาวุธปืนสงครามบุกเข้าไปในแฟลตชุมชนการเคหะธนบุรี 2  แขวงแสมดำ เขตบางขุนเทียน กทม. ปล้นทรัพย์ทำร้ายร่างกายนายวิวัฒน์ หรือ อาร์ม พ่อค้ากัญชา ถูกด้ามปืนตีที่ศีรษะบาดเจ็บสาหัสเย็บกว่า 60 เข็ม  ทีมข่าวไล่กล้องวงจรปิดของอาคารที่เกิดเหตุ  

พบว่าก่อนเกิดเหตุ กล้องวงจรปิดบริเวณด้านนอกตึก จับภาพรถยนต์กระบะ 4 ประตู สีขาว ของผู้ก่อเหตุขับเข้ามาในบริเวณตึกชุมชนการเคหะฯ ก่อนจะเลี้ยวเข้าไปจอดบริเวณด้านหลังของตึก จากนั้นเห็นรถยนต์ ยี่ห้อฮอนด้าแจ๊ส สีขาว ของผู้ก่อเหตุ ขับผ่านเข้ามาบริเวณการเคหะฯ หลังจากนั้นมีการขับวนไปทางด้านหลังของตึก ก่อนจะขับมาบริเวณด้านหน้าของตึก และมีการกลับรถแล้วขับไปบริเวณด้านหลังอีกครั้ง

ต่อมาวงจรปิดจับภาพ รุ่นน้องของผู้บาดเจ็บ ลงมารับคนก่อเหตุบริเวณด้านหน้าตึกการเคหะฯ และเห็นช่วงรุ่นน้องคนสนิทของผู้บาดเจ็บ เดินขึ้นบันไดนำหน้าผู้ก่อเหตุ จำนวน 2 คน ขึ้นไปบนตึก หลังจากนั้นเห็นกลุ่มผู้ก่อเหตุอีกทั้งหมด 4 คน เดินออกมาจากรถกระบะและเดินขึ้นไปยังบริเวณด้านในของตึก

ช่วงก่อนเกิดเหตุเห็นนายวิวัฒน์ ผู้บาดเจ็บ เดินลงมาบริเวณด้านล่างและมีการพูดคุยโทรศัพท์คาดว่าน่าจะมีการคุยกับผู้ก่อเหตุ เห็นรุ่นน้องของผู้บาดเจ็บ เดินนำผู้ก่อเหตุทั้งสองคนขึ้นไปยังบริเวณด้านในตึก กลุ่มผู้ก่อเหตุอีก 4 คน เดินตามเข้ามาบริเวณด้านในตึก จากนั้นกลุ่มผู้ก่อเหตุอีก 4 คน เดินตามเข้ามาบริเวณด้านในตึก และมีการยืนดักรอบริเวณบันไดทางขึ้นไปยังชั้น 2

จากนั้นผู้ก่อเหตุทั้ง 4 คน เดินขึ้นไปยังชั้น 2 จากนั้นวงจรปิดจับภาพผู้ก่อเหตุจำนวน 2 คน วิ่งไปยังบริเวณหน้าห้องที่เกิดเหตุ โดยในภาพจะเห็นว่าผู้ก่อเหตุมีการถืออาวุธปืนเข้าไปด้วย ต่อมาผู้ก่อเหตุ 4 คน วิ่งหนีลงมาที่ชั้น 1 ก่อนจะมีผู้ก่อเหตุอีก 2 คน วิ่งตามลงมาสมทบรวมทั้งหมดมีผู้ก่อเหตุ 2 คน

จากนั้นวงจรปิด จับภาพช่วงที่พ่อของนางสาวไอซ์ แฟนสาวผู้บาดเจ็บและญาติผู้บาดเจ็บเดินขึ้นไปด้านบนชั้น 2 เพื่อดูเหตุการณ์ ก่อนจะลงมาด้านล่างบริเวณชั้น 1 เพื่อร้องขอความช่วยเหลือ วงจรปิดอีกมุม เห็นช่วงที่พ่อของนางสาวไอซ์ เดินลงมาบริเวณด้านนอกตึก ก่อนจะมีการเดินไปเลื่อนแผ่นป้ายมาปิดบริเวณทางเข้าของตึกเคหะฯ เพื่อกันไม่ให้รถของผู้ก่อเหตุขับออกไป

หลังจากนั้นเห็นภาพของกลุ่มผู้ก่อเหตุทั้งหมด 6 คน เดินออกมาจากตัวตึกและเดินไปยังด้านหลังตึก ที่มีการจอดรถกระบะทิ้งไว้ โดยในช่วงนั้นได้มีการเดินสวนกับพ่อของนางสาวไอซ์  จากนั้นเห็นภาพช่วงที่รถกระบะคันสีขาว  4 ประตู คันก่อเหตุ ขับออกไปยังบริเวณด้านนอกของการเคหะฯ



หลังเกิดเหตุ พ่อของนางสาวไอซ์ เดินพานายอาร์ม ผู้บาดเจ็บ (สวมเสื้อสีดำ) เดินลงไปบริเวณชั้น 1 รุ่นน้องคนสนิทของนายอาร์ม และญาติของผู้บาดเจ็บเดินลงมาที่บริเวณชั้น 1 นางสาวไอซ์ และลูกชายเดินออกมาจากห้องที่เกิดเหตุ และลงไปบริเวณชั้น 1 และนำตัวนายอาร์ม ส่ง รพ.

ด้านนางสาวไอซ์ อายุ 25 ปี แฟนสาวของผู้บาดเจ็บ เผยว่า ที่ตนได้มีการร้องเรียนสื่อว่าทางตำรวจไม่ทำคดีให้ คดีไม่มีความคืบหน้า เป็นเรื่องเกี่ยวกับเมื่อวันที่ 23 ส.ค.65 ที่แฟนหนุ่มถูกล่อซื้อกัญชา ทั้งหมด 30 กก. แต่รอบนั้นแฟนหนุ่มของตนมีกัญชาเพียง 15 กก. มีการกันนัดรับซื้อกัญชาในวันที่ 27 ส.ค.

โดยเมื่อแฟนหนุ่มของตนไปส่งของก็ถูกอุ้มขึ้นรถยนต์ทันที โดยผู้ก่อเหตุ มีการแอดไลน์ตนมาบอกว่า นายอาร์ม แฟนหนุ่ม ติดเงินเจ้าของกัญชาไว้ 400,000 บาท เเละขอหลักฐานทั้งหมด โดยทางผู้ก่อเหตุก็ได้มีการพูดคุยกับหัวหน้าของกลุ่มว่า นายอาร์ม ไม่ได้มีการติดเงินจริงๆ ก่อนจะปล่อยตัวแฟนของตน

หลังจากนั้นตนได้นำหลักฐานคลิปเสียงที่มีการพูดคุยกับผู้ก่อเหตุมาให้ตำรวจ 191 ฟัง ตำรวจได้ช่วยสกัดเเต่จับไม่ได้ จากนั้นตนเองก็ได้ไปพบกับกลุ่มผู้ก่อเหตุด้วยความโมโห ตนจึงตบหน้าไปหนึ่งครั้งก่อนจะใช้ขวดเบียร์ตีหัว ผู้ก่อเหตุได้มีการใช้อาวุธปืนจ่อมาที่ตน ตนจึงได้ใช้อาวุธมีดแทงไปที่แขนหนึ่งครั้ง ทำให้ผู้ก่อเหตุหนีไป

ตนมาทราบภายหลังจากเจ้าที่ตำรวจ สน.ท่าข้าม ว่าฝ่ายผู้ก่อเหตุได้มาแจ้งความ ว่าตนทำร้ายร่างกาย ซึ่งตนได้ชี้แจงไปว่า สิ่งที่ตนทำไปนั้นเป็นการป้องกันตัว ทางผู้ก่อเหตุจึงต้องการเงิน 20,000 บาท เพื่อจบเรื่อง หลังจากนั้นวันที่ 25 ก.ย.65 ผู้ก่อเหตุโทรมาข่มขู่ตนอีกครั้งว่า “รอบนี้กูไม่ปล่อยมึงไว้แน่อย่ามากัดตีนกูนะ” ก่อนที่จะมาเกิดเหตุการณ์ วันที่ 14 ต.ค.ครั้งนี้

วันเกิดเหตุ (14 ต.ค.) ตนอยู่หน้าห้อง แก๊งชายฉกรรจ์ไม่ทำร้ายตน ทั้งที่ตนเองสู้ด้วยการต่อยเป้าคนร้าย ตนตะโกนขอความช่วยเหลือ กลุ่มคนร้ายนับสิบคนจึงเอาของ (กัญชา) และพาแฟนหนุ่มของตนไปไม่ได้ ยืนยันตนเองไม่รู้จักกลุ่มผู้ก่อเหตุ เชื่อว่าน่าจะเป็นกลุ่มเดียวกันที่มาอุ้มแฟนหนุ่มครั้งแรก เพราะเขารู้ว่าตนกับแฟนหนุ่มพักที่ไหน อาจส่งคนมาอุ้มแฟนหนุ่มรอบสอง

นางสาวไอซ์ เชื่อว่ามีคนบงการ ไม่งั้นจะไม่กล้าถืออาวุธสงครามบุกมายามวิกาลไม่เกรงกลัวกฎหมาย กลุ่มคนก่อเหตุรู้บันไดขึ้นลง น่าจะเคยมาที่ตึกดังกล่าว จึงวางแผนมาก่อน ก่อนเกิดเหตุมีคนติดมาขอซื้อกัญชา 100 กิโลกรัม แต่แฟนหนุ่มมีให้ 10 กว่ากิโลกรัม หลังปลดล็อกกัญชา ตนไม่เคยยุ่งเกี่ยวอย่างอื่นนอกจากกัญชา

เชื่อว่าสาเหตุน่าจะเกิดจากการค้ากัญชาทับเส้นกันหรือไม่ เนื่องจากก่อนหน้านี้คนกับแฟนหนุ่มติดคุก 11 เดือน ลูกค้าที่เคยซื้อกับตนหันไปซื้อกัญชากับอีกฝ่าย พอตนออกจากคุกมาขายกัญชา ทำให้ลูกค้ากลับมาซื้อกัญชากับตนเหมือนเดิม อาจทำให้เขาไม่มีรายได้จึงบงการให้คนมาก่อเหตุหรือไม่

ตนติดใจนิติบุคคลหลังเกิดเหตุไม่ยอมให้ดูวงจรปิด ไปแจ้งตำรวจกลับพูดว่า “ถ้าไม่มีอาวุธปืนอย่างที่มึงเห่าไว้มึงโดนนะ” วงจรปิดบางมุมจับภาพหน้าคนร้ายชัดเจน เหตุการณ์อุกอาจจนถึงวันนี้ยังจับคนร้ายไม่ได้ ซ้ำยังเอาปืนมาจ่อหัวลูกชายวัย 9 ขวบ “นี่คือกรุงเทพฯ ทำไมกฎหมายไม่เข้มแข็งจึงต้องร้องสื่อ คำพูดของตำรวจดูเหมือนว่าเราทำผิดที่ขายกัญชาและจะจับเรา ถ้าเราทำผิดเรารับได้ แต่ทำไมไม่เร่งจับคนร้าย รออะไรอยู่”

ช่วงเย็นวานนี้ (17 ต.ต.) ทนายรณรงค์ แก้วเพชร พานางสาวไอซ์ แฟนสาวผูบาดเจ็บ ได้เข้าแจ้งความกับตำรวจ สน.ท่าข้าม เพิ่มเติมในข้อหาปล้นทรัพย์ / พยายามฆ่าผู้อื่น / ทำร้ายร่างกายผู้อื่น / ข่มขู่ / พกพาอาวุธปืน ซึ่งก่อนหน้านี้มีการแจ้งความไว้แค่เรื่องทำร้ายร่างกาย  ซึ่งในส่วนของข้อหาปล้นทรัพย์นั้น ผู้ก่อเหตุได้ขโมยกุญแจฮอนด้า ซีวิค แหวนทองคำหนัก 1 บาท 1 วง

นางสาวไอซ์ ยอมรับว่าตนเคยถูกดำเนินคดีข้อหาค้ากัญชา แต่เรื่องยาเสพติดไม่เคยยุ่งเกี่ยว หากมีพยานหรือหลักฐานสามารถเอาผิดตนในข้อหาเรื่องนี้ได้ ยินดีที่จะมอบตัว ตนไม่มีความกังวลที่มาแจ้งความเพราะตนเป็นผู้บริสุทธิ์ และไม่เคยมีความพัวพันเกี่ยวกับยาเสพติดชนิดอื่นนอกจากกัญชา นอกจากนี้ตนมีเอกสารจากกระทรวงสาธารณสุข ที่แสดงว่าเป็นผู้ค้ากัญชาได้อย่างเสรี ยืนยันว่าที่มาของกัญชาที่สามีนำมาขายนั้น มาจาก นาย พ. ตนก็ไม่ทราบว่า นาย พ. ไปเอากัญชามาจากที่ไหนจะเป็นกัญชาข้ามชาติหรือไม่นั้น ตนไม่สามารถรู้ได้

ยืนยันว่าตนและแฟนหนุ่ม ไม่ได้เป็นเอเย่นต์รายใหญ่ค้ากัญชาในละแวกนี้ ส่วนใหญ่ที่ตนขายมากสุดก็แค่ประมาณ 30 กิโลกรัมเท่านั้น ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทางผู้ซื้อ สั่งซื้อกัญชาน้ำหนักทั้งหมดประมาณ 100 กิโลกรัม แต่ตนมีไม่ถึง มีเเค่ 10 กว่ากิโลกรัม เท่านั้น จึงได้มีการนัดมาดูเนื้อกัญชา หากทางผู้ซื้อมีความพึงพอใจก็จะขายให้

ซึ่งหลังจากที่ตนต้องโทษคดีกัญชาเมื่อวันที่ 23 มิ.ย. 2564 เพราะโดนซัดทอดจากลูกน้องของแฟนหนุ่มที่เอาไปจำหน่ายแล้วโดนจับ จากนั้นเมื่อพ้นโทษออกมาจากเรือนจำก็ไม่ได้ตั้งใจว่าจะมาขายกัญชาเป็นอาชีพหลัก แต่เนื่องจากว่ากัญชาที่ได้จำหน่ายระหว่างนี้นั้นเป็นกัญชาที่ได้รับคืนจากของกลางที่โดนจับไปก่อนหน้านี้ โดยตนคิดว่าจะยึดอาชีพในการเปิดร้านอาหาร และจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจกัญชาอีก คิดว่าการก่อเหตุครั้งแรกนั้นมาจากการที่ตนไม่กลับไปซื้อกัญชาของกลุ่มผู้ก่อเหตุครั้งแรกมาจำหน่าย จึงอาจเป็นชนวนเหตุของความไม่พอใจและก่อเหตุอุ้มสามีไปเพื่อทำร้ายร่างกายเกิดขึ้นเมื่อเดือน ส.ค.



รับชมผ่านยูทูปได้ที่ : https://youtu.be/NzsxqP__4Gw

คุณอาจสนใจ

Related News