อาชญากรรม
จับแล้ว! เจ้าของบัญชีม้าร่วมแก๊งหลอก 'ชาล็อต' สูญ 4 ล้าน ปลายทางโอนเข้าบัญชีคนจีน
โดย nut_p
15 ธ.ค. 2567
70 views
ตำรวจไซเบอร์ จับแล้ว เจ้าของบัญชีม้าผู้ร่วมขบวนการ หลอกนางงาม 'ชาล็อต' สูญ 4 ล้าน ผู้ต้องหาเผยขั้นตอนตั้งแต่เปิดบัญชีไปจนถึงรังขบวนการที่ประเทศกัมพูชา
พลตำรวจโทไตรรงค์ ผิวพรรณ รักษาราชการแทน ผู้บัญชาการกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ไซเบอร์) แถลงผลการจับกุม นางสาวปาริฉัตต์ (สงวนนามสกุล) อายุ 40 ปี เจ้าของบัญชีม้าที่กลุ่ม callcenter หลอกนางสาวชาล็อต ออสติน นางงาม ไป 4 ล้านบาท ก่อนจะหลอกให้โอนเข้าบัญชีดังกล่าว โดยถูกจับกุมได้ที่ บ้านหนองไผ่ล้อม จังหวัดชัยภูมิ แจ้งข้อหา "ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น ร่วมกันทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัวหรือความตกใจ ด้วยการขู่เข็ญ ร่วมกันทุจริตหรือหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ และข้อหาเปิดหรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้บัญชีเงินฝากฯ
พลตำรวจตรีวิวัฒน์ คำชำนาญ รองผู้บัญชาการตำรวจไซเบอร์ บอกว่า ผู้ต้องหามีความเกี่ยวข้องกับเครือข่ายแก๊ง callcenter และพบประวัติมีการเดินทางออกนอกประเทศ ก่อนที่นางสาวชาล็อตจะถูกหลอกโอนเงิน และจากการสอบปากคำเบื้องต้น ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ยอมรับเพียง 1 ข้อหา คือ "เปิดหรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้บัญชีเงินฝากฯ"
โดยอ้างว่า เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ที่ผ่านมา สามีของผู้ต้องหามีงานพิเศษให้ทำ คือ การเปิดบัญชีธนาคาร เพื่อรับรายได้ โดยมีตอบแทนให้บัญชีละ 3,500 บาท และผู้ต้องหาอ้างว่า ไม่ทราบว่า การรับจ้างเปิดบัญชีธนาคารมีความผิด และหลังเปิดบัญชี ก็มีผู้ที่จ้างมาหาที่บ้าน เพื่อถ่ายรูปสมุดบัญชีธนาคารที่เปิดใหม่ และแจ้งว่าผู้ต้องหาและสามีจะต้องไปที่ประเทศกัมพูชา
โดยระหว่างที่เดินทางไป ก็พบว่า มีคนอื่นที่รับจ้างเปิดบัญชีเดินทางไปด้วย และเมื่อถึงตลาดโรงเกลือ จ.สระแก้ว ก็มีรถจักรยานยนต์รับไปส่งที่จุดข้ามแดน และต้องเดินเท้า 5-10 นาที ในการข้ามแดน โดยผ่านเส้นทางธรรมชาติ ที่มีมีลักษณะเป็นที่รกร้าง ต้องข้ามลำน้ำขนาดเล็ก ใช้แพโฟมชักรอกข้ามลำน้ำ
เมื่อข้ามไปแล้ว จะมีรถตุ๊กๆมารับ ไปส่งยังตึกแถวแห่งหนึ่ง พบว่า มีคนไทย 15-20 คน อาศัยอยู่ร่วมกัน และมีการสร้างห้องจำลองเป็น จนท. DSI เพื่อวิดีโอคอลหลอกผู้เสียหายคนอื่น ซึ่งในอาคารนี้ ยังมีชาวจีน 3-4 คน คาดว่า เป็นผู้ควบคุมอยู่ด้วย และมียามคอยสแกนนิ้วเปิด-ปิดประตูเข้าออกตลอดเวลา มีโต๊ะทำงานคอมพิวเตอร์ จากนั้นได้มีบอสชาวจีน สั่งลูกน้องให้ยึดบัตรประชาชน และสมุดบัญชีธนาคาร และโทรศัพท์มือถือ และให้บอกรหัส Mobile Banking ในการทำธุรกรรมแอปฯธนาคาร จากนั้น ได้ส่งมอบให้แก่บอสชาวจีน
ตลอดเวลาที่อยู่อาคารนี้ ทุกคนโดนขังอยู่ในห้องปิดม่านทึบ และจะถูกเรียกตัวทีละคนไป สแกนหน้าผ่านแอปพลิเคชัน Mobile Banking ที่ได้ลงทะเบียนไว้ โดยแสกนวันละอย่างน้อย 1 รอบ หรือมากกว่านั้น เมื่อเสร็จสิ้นจะแจกเงินค่าจ้างเป็นเงินสด โดยผู้ต้องหาที่ถูกจับ มีบัญชีธนาคาร 4 เล่ม จึงได้รับเงิน 14,000 บาท หลังรับเงิน ก็ถูกส่งตัวกลับประเทศไทย ผ่านช่องทางเดิม และเมื่อได้กลับมา ก็ทำงานอาชีพแม่บ้านและใช้ชีวิตปกติ
จากการขยายผลเบื้องต้น ตำรวจพบเส้นทางการเงิน ที่นางสาวชาล็อต โอนไป 4 ล้านบาท ถูกแปลง เป็นเงินดิจิทัลและโอน ไปยังบัญชีปลายทาง ที่มีคนจีนเป็นเจ้าของ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการขยายผล ส่วนสามีของผู้ต้องหา ภายหลังออกข่าวก็พบว่า ได้หลบหนีไปจากที่พัก แต่จากการตรวจสอบยัง ไม่พบว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้ เพราะยังไม่ปรากฏหลักฐานเชื่อมโยงเส้นทางการเงิน
นอกจากนี้ ตำรวจไซเบอร์ ยังได้รับเรื่องร้องเรียนจาก เยาวชนอายุ 17 ปี บอกว่า ถูกกลุ่มมิจฉาชีพ อ้างเป็น DSI หลอกเงินไปกว่า 3.4 ล้านบาท
โดยเยาวชน อายุ 17 ร้องเรียนว่า มีมิจฉาชีพโทรศัพท์มาอ้างเป็น เจ้าหน้าที่ DSI แล้วหลอกว่า บัญชีธนาคารของผู้เสียหายเกี่ยวข้อง กับการกระทำความผิดในคดีฟอกเงิน ของนายศรัทธา จันทรเศรษฐเลิศ โดยแผนประทุษกรรมคล้ายกับเคสของนางสาวชาล็อต เพราะชื่อบัญชีที่มิจฉาชีพอ้าง เป็นคนเดียวกับเคสของนางสาวชาล็อต
ซึ่งเคสดังกล่าว มิจฉาชีพได้หลอกให้ผู้เสียหาย โอนเงินจากคนในครอบครัว ซึ่งผู้เสียหาย นำบัญชีของ ปู่และย่า โอนหลายครั้ง เป็นเงิน 3,412,642 บาท ซึ่งเป็นเงินเก็บของปู่และย่าที่เก็บมาทั้งชีวิต โดยในทุกขั้นตอน มิจฉาชีพได้วิดีโอคอลควบคุมสั่งการตลอด
เบื้องต้นคดีนี้ ถูกหลอกใกล้เคียงกับกรณีของชาล็อต เพราะบัญชีม้าแถวแรกมีความเชื่อมโยงกัน ซึ่ง ตำรวจไซเบอร์จะเร่งสืบสวนขยายผล เพื่อจับกุมผู้ต้องหาดำเนินคดีเพิ่มเติม
รับชมทางยูทูบที่ : https://youtu.be/O0MJTwHs5TA