ปิดฉาก 20 ปี! ศาลจังหวัดนราธิวาส สั่งจำหน่าย คดีตากใบ เนื่องจากคดีขาดอายุความ

วันที่ 28 ต.ค.67  ศาลจังหวัดนราธิวาส ได้นัดพิจารณาคดีตากใบนัดสุดท้าย และล่าสุดก็ได้มีรายงานวาา ศาลได้มีสั่งจำหน่ายคดีตากใบแล้ว เนื่องจากคดีขาดอายุความ ซึ่งขณะนี้ก็ยังไม่สามารถจับ 7 จำเลยได้

ซึ่งก่อนการพิจารณาคดี นายรัษฎา มนูรัษฎา ทนายของความฝ่ายโจทก์ ได้กล่าวว่า ถึงแม้ว่าคดีนี้จะไม่สามารถนำตัวผู้ต้องหาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมได้ แต่ก็ถือว่าเป็นคดีประวัติศาสตร์ที่ต้องแสวงหาข้อเท็จจริงต่อไป ในส่วนทนายความและญาติได้หารือกันเบื้องต้นว่าจะมีการเสนอแนวทางหลังจากนี้เพื่อบรรเทาความยุติธรรมแก่ญาติ โดยจะเสนอให้อดีตผู้ต้องหาที่เป็นอดีตข้าราชการระดับสูงที่หนีคดี งดรับเงินบำนาญ ซึ่งเป็นเงินของรัฐ

ต่อมาเวลา 10.00 น. ที่ศาลจังหวัดนราธิวาส ได้อ่านคำสั่งคดีหมายเลขแดงที่ อ1516/2567 ระหว่าง น.ส.ฟาดีฮะห์ ปะจูกูเล็ง ที่ 1 กับพวกรวม 48 คน โจทก์ กับ พล.อ.พิศาล วัฒนวงษ์คีรี ที่ 1 กับพวกรวม 9 คน จำเลย

ซึ่งเมื่อวันที่ 25 เม.ย.2567 ที่ผ่านมา โจทก์ 48 คน ได้ยื่นฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งเก้าตาม ป.อ. มาตรา 59, 80, 83, 288, 289 (5), 309, 310 เนื่องจากเป็นคดีที่ราษฎรเป็นโจทก์ฟ้อง ศาลจึงนัดไต่สวนมูลฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 162 (1) ศาลไต่สวนพยานฝ่ายโจทก์ได้ 1 ปาก แต่เนื่องจากไต่สวนจนล่วงเลยเวลาราชการ จึงเลื่อนไปนัดไต่สวนต่อในวันต่อไป

วันต่อมาศาลอนุญาตให้โจทก์ที่ 6-8 ที่ 26 ที่ 35 ที่ 42 และญาติโจทก์ที่ 3 แถลงเกี่ยวกับความรู้สึก ความเสียหาย หรือความประสงค์อันเนื่องมาจากเหตุการณ์ตามฟ้อง แล้วจึงได้เลื่อนไปนัดไต่สวนมูลฟ้องวันที่ 26 ก.ค.2567

ในวันนัดไต่สวนมูลฟ้องนัดที่สาม ศาลได้ไต่สวนพยานโจทก์ทั้ง 48 ซึ่งไต่สวนได้ 2 ปาก และเมื่อรวมฝ่ายโจทก์นำพยานบุคคลเข้าไต่สวน 3 ปาก อ้างพยานเอกสาร 28 รายการ กับพยานวัตถุ 1 รายการ ฝ่ายจำเลยอ้างเอกสารประกอบการถามค้าน 27 รายการ คดีเสร็จการไต่สวน ศาลนัดฟังคำสั่งหรือฟังคำพิพากษาวันที่ 23 ส.ค.2567

อย่างไรก็ตาม ในการไต่สวนมูลฟ้อง จำเลยทั้ง 9 ไม่มาศาล แต่แต่งทนายความมาซักค้านพยานฝ่ายโจทก์ รวมทั้งได้ยื่นคำแถลงให้ศาลทราบถึงข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายอันสำคัญที่ศาลควรสั่งว่าคดีไม่มีมูล ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 165/2

จนกระทั่งวันที่ 23 ส.ค.2567 ศาลจังหวัดนราธิวาส มีคำสั่งให้ คดีในส่วนจำเลยที่ 1 ที่ 3-6 และที่ 8-9 มีมูลความผิดในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่น ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น และร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย ตาม ป.อ.มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80, 83 และมาตรา 310 วรรคสอง ประกอบมาตรา 290, 83 ให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา

ส่วนจำเลยที่ 2 และที่ 7 พิพากษายกฟ้อง เพราะเห็นว่าคำฟ้องในส่วนจำเลยที่ 2 ไม่ครบองค์ประกอบความผิดตาม ป.วิ.อ.มาตรา 158 (5) กับพยานหลักฐานในชั้นไต่สวนมูลฟ้องไม่ปรากฏว่า จำเลยที่ 7 มีส่วนร่วมในการกระทำผิดตามฟ้อง

นอกจากนี้ศาลยังได้ออกหมายเรียกจำเลยที่ 1 ที่ 3-6 และที่ 8-9 มาสอบคำให้การ ตรวจพยานหลักฐาน และกำหนดวันนัดสืบพยานในวันที่ 12 ก.ย.2567

แต่เมื่อถึงวันนัด จำเลยที่ 1 ที่ 3-6 และที่ 8-9 กลับไม่มาตามนัด ศาลจึงได้ออกหมายจับ แต่ได้เว้นจำเลยที่ 1 เนื่องจากเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ศาลจึงต้องทำหนังสือขออนุญาตจับต่อสภาฯก่อน และเลื่อนไปนัดพร้อมเพื่อสอบคำให้การฯ

วันที่ 24 ก.ย 2567 แจ้งว่า ระหว่างสมัยประชุม สส.ไม่มีความคุ้มกันใด ๆ ในชั้นพิจารณาของศาล รวมทั้งจากการจับและคุมขังในคดีอาญา ศาลจึงออกหมายจับจำเลยที่ 1 ในวันเดียวกัน ทั้งนี้ ศาลมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานตำรวจศาลเป็นผู้มีอำนาจจัดการตามหมายจับควบคู่ไปกับพนักงานฝ่ายปกครองและเจ้าพนักงานตำรวจตามปกติ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและโอกาสในการติดตามจับกุมจำเลยที่หลบหนี

วันที่ 15 ต.ค.2567 ยังไม่สามารถจับกุมจำเลยคนใดได้ ศาลไม่อาจดำเนินกระบวนพิจารณาต่อต้องเลื่อนคดีไปเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดตามจับกุมจำเลยที่หลบหนีมาเสียก่อน แต่ศาลอนุญาตให้ญาติผู้ตายแถลงการณ์ด้วยวาจา เกี่ยวกับคดีนี้ แล้วมีคำสั่งเลื่อนไปไปนัดพร้อมเพื่อประชุมคดี หรือนัดฟังคำสั่งหรือคำพิพากษาวันที่ 28 ต.ค.2567

จนกระทั่งวันที่ 28 ต.ค.2567 ก็ยังไม่สามารถจับกุมจำเลยได้ ศาลนราธิวาสจึงมีคำสั่งจำหน่ายคดี เนื่องจากคดีขาดอายุความ ทำให้สิทธินำคดีอาญามาระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (6) เหตุที่ศาสมีคำสั่งจำหน่ายคดีแทนพิพากษายกฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 185 วรรคหนึ่ง เพราะตามบทบัญญัติดังกล่าว เป็นกรณีที่ปัญหาเรื่องคดีขาดอายุความปรากฏต่อศาลในชั้นทำคำพิพากษาและคำสั่ง ซึ่งกฎหมายกำหนดให้ศาลยกฟ้องโจทก์ปล่อยจำเลยไป

แต่คดีนี้ จำเลยที่ 1-3 ถึงที่ 6 และที่ 8-9 ไม่เคยเข้าสู่การพิจารณาและหลบหนีจนคดีขาดอายุความ เป็นเหตุให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจท์ทั้ง 48 ระงับ ไม่สามารถดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปได้ ต้องจำหน่ายคดีเสียจากสารบความนั่นเอง