อาชญากรรม

เด้ง 3 ผู้คุม ‘เสี่ยแป้ง’ ออกจากราชการไว้ก่อน ชี้หากร่วมวางแผนเอื้อหลบหนี พร้อมไล่ออก

โดย chutikan_o

7 พ.ย. 2566

80 views

อธิบดีราชทัณฑ์ เซ็นคำสั่งเด้ง 3 ผู้คุม ‘เสี่ยแป้ง’ ออกจากราชการไว้ก่อน ยันชัดไม่ตัดประเด็นใดทิ้ง หากผู้คุมร่วมวงวางแผนเอื้อหลบหนี พร้อมไล่ออกจากราชการ ชี้ไล่บี้สอบข้อเท็จจริงทุกคน ไม่เว้น 2 ผู้บริหาร


จากกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองนครศรีธรรมราช ได้รวบรวมพยานหลักฐานขอศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 8 ออกหมายจับเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ เรือนจำกลางนครศรีธรรมราช ทั้งหมด 3 ราย ได้แก่ นายวรินทร ทองประจง (ผู้คุมผลัดบ่าย) นายเอกลักษณ์ ไชยกาญจน์ (ผู้คุมผลัดบ่าย) และนายวีระชัย หนูด้วง (ผู้คุมผลัดเช้า) ฐานความผิดเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และเป็นเจ้าพนักงานมีตำแหน่งหน้าที่ควบคุมดูแลผู้ที่ต้องคุมขังตามอำนาจศาล ซึ่งเป็นบุคคลต้องคำพิพากษาของศาลให้ลงโทษจำคุกตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป ร่วมกันกระทำด้วยประการใดๆให้ผู้ที่อยู่ระหว่างคุมขัง หลุดพ้นจากการคุมขังไป โดยผู้คุมราชทัณฑ์ทั้ง 3 รายดังกล่าวได้มีพฤติการณ์ปล่อยปละละเลยในการควบคุมดูแลผู้ต้องขัง นายเชาวลิต ทองด้วง หรือ เสี่ยแป้ง นาโหนด นักโทษชายรายสำคัญ จนเป็นเหตุให้เสี่ยแป้งก่อเหตุในช่วงกลางดึก เวลา 01.00 น. วันที่ 22 ต.ค. 2566 โดยการใช้กุญแจผีไขสะเดาะตรวนข้อเท้า และหนีออกจาก รพ.มหาราชนครศรีธรรมราช และขณะนี้เจ้าตัวยังอยู่ระหว่างหลบหนีกบดานที่ต่างประเทศ ศาลจังหวัดนครศรีธรรมราชได้ออกหมายจับในความผิดฐานหลบหนีไประหว่างที่ถูกคุมขังตามอำนาจของศาลนั้น


เมื่อวันที่ 7 พ.ย. 2566 นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม รักษาราชการแทนอธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวว่า ภายหลังจากที่ตำรวจรวบรวมพยานหลักฐานจนขอศาลออกหมายจับ 3 เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ซึ่งเป็นผู้ได้รับมอบหมายให้ควบคุมดูแลเสี่ยแป้ง แต่กลับปล่อยปละละเลย จนเป็นเหตุให้นักโทษก่อเหตุหลบหนีออกจากการควบคุมตัว ซึ่งในกรณีดังกล่าว ตำรวจได้แจ้งข้อกล่าวหาตามมาตรา 157 และในส่วนของกรมราชทัณฑ์ คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงก็ได้ดำเนินการตรวจสอบประเด็นต่างๆ อย่างต่อเนื่อง  ดังนั้น เมื่อทั้ง 3 เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ถูกศาลออกหมายจับ จึงได้มีคำสั่งลงนามให้ทั้ง 3 รายออกจากราชการไว้ก่อน และเมื่อมีเราการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ตามหลักการก็จะต้องตั้งคณะกรรมการเพื่อการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงควบคู่ไปด้วย ซึ่งการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง ก็เพื่อพิจารณาเป็นคำสั่งไล่ออกจากราชการ แต่ในส่วนของนายณรงค์ หนูคง ผู้บัญชาการเรือนจำกลางนครศรีธรรมราช และนายพูชนะ หิรัญรัตน์ ผู้อำนวยการส่วนควบคุมของเรือนจำกลางนครศรีธรรมราช รวม 2 ราย ซึ่งได้ถูกสั่งให้ไปปฏิบัติราชการอยู่ที่กรมราชทัณฑ์ จ.นนทบุรี ก่อนหน้านี้ ก็จะถูกตรวจสอบจากคณะกรรมการฯเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ เบื้องต้นทั้งคู่ยังไม่ได้ถูกออกหมายจับจากเจ้าหน้าที่ตำรวจแต่อย่างใด จึงยังคงปฏิบัติราชการอยู่ที่กรมราชทัณฑ์


สำหรับการสอบข้อเท็จจริงของคณะกรรมการนั้น นายสหการณ์ กล่าวว่า คณะกรรมการจะดำเนินการสอบสวนเพิ่มเติมให้ครบทุกประเด็น เพราะไม่ได้มองเพียงผู้คุมราชทัณฑ์แค่ 4 รายที่ได้รับหน้าที่ให้ดูแลผู้ต้องขัง แต่จะตรวจสอบให้ครอบคลุมถึงผู้ที่มีบทบาทเกี่ยวข้องทั้งหมด แต่ ณ ตอนนี้เพิ่งได้รับรายงานการสอบข้อเท็จจริง ซึ่งจะมีรายละเอียดเชิงลึกหลายประเด็น ซึ่งรายงานการสอบสวนจะไม่สามารถเปิดเผยต่อสาธารณะได้ทั้งหมด เพราะอาจเป็นการให้คุณหรือชี้ช่องทางต่อผู้ที่มีส่วนกระทำความผิดได้ และคณะกรรมการจะต้องรวบรวมพยานหลักฐาน อาทิ พยานวัตถุ พยานเอกสาร พยานแวดล้อม พยานบุคคล เป็นต้น เพื่อนำมาใช้ในการขยายความถึงสิ่งที่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ถูกกล่าวหา และบางส่วนอาจจะใช้ในการมัดตัวต่อพฤติการณ์ความผิดที่เจ้าหน้าที่อาจจะเปิดเผยไม่หมดได้ อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการจะไม่มีการตัดประเด็นใดที่สังคมเคลือบแคลงใจสงสัยทิ้งไปเด็ดขาด เพราะการสอบสวนในเรื่องของความผิดวินัยร้ายแรงจะเป็นการตรวจสอบรายละเอียดเชิงลึกมากขึ้น ดังนั้น หากเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์รายใดที่เข้าข่ายว่าเป็นผู้ร่วมกระทำความผิดกับกลุ่มผู้ต้องหาทั้ง 7 รายที่ให้การช่วยเหลือผู้ต้องขัง หรือพบพยานหลักฐานว่ามีพฤติการณ์ไปติดต่อกับบางผู้ต้องหาเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อการหลบหนีของผู้ต้องขัง ก็จะมีความผิดในเรื่องของวินัยร้ายแรงและนำไปสู่การไล่ออกจากราชการ


เมื่อถามถึงกรณีที่สังคมตั้งข้อสงสัยว่าเหตุใดผู้คุมราชทัณฑ์อีก 1 ราย ซึ่งอยู่ในเวรผลัดเช้าของวันเกิดเหตุร่วมกับนายวีระชัย หนูด้วง จึงยังไม่ถูกคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน นายสหการณ์ กล่าวว่า ในประเด็นดังกล่าวจะเป็นดุลพินิจและอำนาจการตรวจสอบของพนักงานสอบสวน สภ.เมืองนครศรีธรรมราช เพราะเจ้าหน้าที่จะต้องดูพฤติการณ์ และพิจารณาควบคู่ไปกับพยานหลักฐานจึงจะแจ้งข้อกล่าวหาในมาตรา 157 เหมือนกับเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ 3 รายก่อนหน้านี้ แต่ได้รับทราบว่าผู้คุมผลัดเช้าทั้ง 2 รายก็ปฏิบัติหน้าที่อยู่ด้วยกัน แต่ข้อเท็จจริงที่ต้องพิจารณา คือ ผู้คุมราชทัณฑ์รายนี้ไปมีส่วนเกี่ยวข้อง หรือได้ไปกระทำสิ่งใดจนเป็นเหตุให้พนักงานสอบสวนเชื่อได้ว่ามีการปล่อยปละละเลยเหมือนกับเจ้าหน้าที่ 3 รายก่อนหน้าหรือไม่


นายสหการณ์ กล่าวอีกว่า สำหรับผลการสอบปากคำทั้ง 3 เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ของเจ้าที่ตำรวจ สภ.เมืองนครศรีธรรมราช จะไม่ได้รายงานมายังราชทัณฑ์แต่อย่างใด เพราะว่าเป็นรายละเอียดในสำนวนคดี เว้นแต่ว่าทางคณะกรรมการได้ตรวจสอบในประเด็นใดแล้วต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม จึงจะประสานขอรายละเอียดบางส่วนไป แต่ก็จะต้องได้รับการพิจารณาจากพนักงานสอบสวนว่าจะสามารถเปิดเผยเนื้อหารายละเอียดภายในสำนวนได้หรือไม่ และขอยืนยันว่าราชทัณฑ์ยังคงเร่งรัดตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมด และไม่มีการให้ความช่วยเหลือต่อบุคคลในองค์กร หากผิดจริงก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย เพราะการปล่อยให้ผู้ต้องขังรายสำคัญหลบหนีไปได้เช่นนี้ ก็เป็นความผิดอันบกพร่องต่อหน้าที่แล้ว

คุณอาจสนใจ

Related News