สกัดจับแก๊งขนยาลงใต้ ยึดของกลางเกือบ 5 แสนเม็ด พบ 1 ในกลุ่มเป็นคนร้ายชิงทอง

ก่อนหน้านี้มีผู้ต้องหาคดีชิงทองคนหนึ่งที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้หลบหนีหมายจับไปกบดาน อยู่ตามชายแดนไทยเมียนมา ก่อนที่ตำรวจจะสืบจนพบว่า ชายคนนี้ได้ร่วมในขบวนการค้ายาเสพติดเครือข่ายหนึ่งแล้ว ทำหน้าที่รับจ้างลำเลียงยาเสพติดจากประเทศเพื่อนบ้านไปส่งในพื้นที่ภาคใต้หลายครั้ง จึงวางแผนสกัดจับ



จากเหตุคนร้ายบุกเดี่ยวชิงทองกลางห้าง ที่อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช อย่างอุกอาจ โดยใช้ระเบิดปลอมขู่ กระทั่งตำรวจสืบทราบว่าคือ นายสิทธิเดช น้ำพ่วง แต่เมื่อถูกออกหมายจับ กลับพบว่าหนีไปที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย และได้ข้ามไปอยู่ฝั่งท่าขี้เหล็กของเมียนมา



ตำรวจสอบสวนกลาง โดยกองกำกับการ 5 กองปราบปราม ได้เฝ้าติดตามพฤติกรรมพบว่า รถของนายสิทธิเดชยังวิ่งจากอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย มาที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีหลายครั้ง จึงพยายามติดตามเพื่อจับกุมนายสิทธิเดช กระทั่ง พบเห็นรถจากเชียงราย เข้ามายังเชียงรายมุ่งลงสู่ภาคใต้ จอดพักนอนรีสอร์ท และพบว่าแต่ละครั้ง จะมีรถติดตามมาด้วยอีกหนึ่งคัน และพักรีสอร์ทไม่ห่างกันมากนัก



และครั้งนี้เมื่อรถของนายสิทธิเดช เข้ามายังจังหวัดชุมพร ตำรวจกองปราบซึ่งสะกดรอยติดตามมา เห็นว่าคนร้ายขับรถเลี่ยงไปใช้เส้นทางรอง และเตรียมจะหลบหนี จึงประสานตำรวจทางหลวงชุมพรให้สกัดจับ



โดยคนขับเป็นชายหญิงคู่หนึ่ง ไม่ใช่นายสิทธิเดช รับว่าขับรถคุ้มกันให้กับเครือข่ายยาเสพติด ส่วนรถลำเลียงยา ไม่ยอมง่าย ๆ หลังสกัดจับได้ พบซุกซ่อนยามาเต็มท้ายกระโปรงรถเกือบ 500,000 เม็ด



จากคดีชิงทอง ที่ผู้ต้องหาหลบหนีหมายจับ ตำรวจกองปราบปรามได้สืบต่อเนื่อง จนทราบว่าเป็นเครือข่ายแก๊งค้ายาเสพติดในภาคใต้ และหนีกบดานกับเครือข่ายเดียวกันที่ท่าขี้เหล็ก ตรงข้ามอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เพื่อไปสั่งการยาเสพติดเข้ามาในประเทศแทบทุกเดือน โดยครั้งนี้จับได้ทั้งหมด 4 ราย เป็นชาย 2 ราย หญิง 2 ราย ซึ่งจะได้รับโทษ เท่ากับเป็นผู้ค้าเจ้าของยาเอง ขณะที่อันตรายของยาเสพติดเป็นที่ทราบดีว่า ผู้เสพจะเกิดอาการหลอนต่อจิตประสาท จนเกิดคุ้มคลั่ง



โดยล่าสุดตำรวจทางหลวงนครปฐม พบผู้ขับรถมีอาการน่าสงสัยว่าหลอนยา เกรงจะเป็นอันตรายต่อผู้ใช้รถบนท้องถนน เหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วบนถนนพระราม 4 แต่ครั้งนี้ยังไม่ได้ชนคันอื่น ตำรวจทางหลวงนครปฐมสกัดจับได้ขณะที่ผู้เสพกระโดดน้ำหนี แต่เจ้าหน้าที่สกัดจับก่อนเกิดเหตุร้ายต่อผู้อื่นได้ทัน