สืบนครบาลบุกไปจับ เดียร์สาวทอมสายยักมิจฉาชีพสุดแสบ ที่ก่อคดียาวเป็นหางว่าว แต่ปรากฏว่าเมื่อชุดสืบสวนไปถึงกลับไม่พบคนร้าย ผู้การจ๋อ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. สั่งพ.ต.ต.ธัญพีรสิษฐ์ จุลพิภพ สว.กก.สส.3 บก.สส.บช.น. สารวัตรแจ๊ะ ใช้ยุทธวิธีไม้ตายงัดวิชาพลางกายซ่อนเร้นจึงสามารถจับกุมตัวได้ ตรวจสอบโทรศัพท์คนร้ายเพราะว่าใช้หมอดูทักแจ้งหลบหนีการจับกุม หากเป็นผู้เสียหายที่ไม่ชอบก็จะเล่นของมนต์ดำใส่ หรือผู้หญิงที่ชอบ จะเล่นของให้มาหลงมารัก สุดท้ายจนมุม
เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2567 เจ้าหน้าที่ร่วมกันสืบสวนขยายผลติดตามจับกุมตัว น.ส.นภัสกมล หรือเดียร์ อายุ 26ปี ภูมิลำเนา ต.เหนือเมือง อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด ได้ที่ ห้องพักในคอนโดชื่อดัง ถ.รามคำแหง 2 แขวงดอกไม้ เขตประเวศจ.กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดร้อยเอ็ดที่ จ.1030/2567 ลงวันที่ 26 พ.ย. 67 ข้อหา “ฉ้อโกง” ตรวจยึดของกลาง โทรศัพท์ไอโฟน 1 เครื่อง, แฟลชไดรฟ์ที่เช่าไปจากร้านพร้อมโทรศัพท์ จำนวน 3 ชิ้น (ผู้เสียหายมาชี้ยืนยันแล้ว คดีที่ สน.พญาไท และ สน.พหลโยธิน) จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมให้ทราบว่า “ยักยอกทรัพย์หรือรับของโจร”
ตรวจสอบพบข้อมูลการก่อเหตุ ณ เวลานี้ จำนวน 13 คดี ได้แก่คดีที่ใช้บริการเช่าโทรศัพท์-กล้อง ทั้งยี่ห้อซัมซุง-ไอโฟน จากผู้เสียหายซึ่งได้เปิดบริการให้เช่าโทรศัพท์ทางช่องทางออนไลน์ โดยมีการนัดหมายรับกันผ่านไรเดอร์ แล้วไม่นำมาคืน ก่อนจะหายไปไม่สามารถติดต่อได้ กว่า 8 คดี มูลค่าความเสียหายกว่า 434,794 บาท
นอกจากนี้ยังตกเป็นผู้ต้องหาในคดีที่ล้วงกระเป๋าผู้เสียหายในงานคอนเสิร์ต ขโมยโทรศัพท์ 2 คดี มูลค่าความเสียหาย 26,000 บาท และคดีที่หลอกขาย โมเดลวันพีช ทางออนไลน์ โดยการเปิดเพจประมูลของเล่น ขโมยรูปมาจากเพจอื่น แล้วมาลงให้ประมูล จากนั้นได้ทำทีทักไปหาเหยื่อแสร้งว่าเหยื่อชนะการประมูล เหยื่อหลงเชื่อโอนเงินให้ แต่ก็ไม่มีการส่งสินค้าใดๆ ให้ 3 คดี รวมมูลค่ากว่า 2,670 บาท
สืบเนื่องจาก “เดียร์สายยัก” ก่อเหตุต่อเนื่องจำนวนมาก ยังมีหน้าไปไล่แจ้งความกลับผู้เสียหายเกือบทุกราย จนผู้เสียหายนับสิบตั้งกลุ่มจองกฐินผู้ก่อเหตุรายนี้สืบเนื่องจากได้มีผู้เสียหายรายหนึ่งได้ขอความช่วยเหลือมาที่สืบนครบาลว่าได้ถูกมิจฉาชีพเป็น “สาวทอม” หลอกลวงเช่าโทรศัพท์ก่อนเชิดหลบหนีหายไป เหมือนจะเป็นการยักยอกทรัพย์ทั่วๆ ไป
ซึ่งชุดสืบสวนก็ต้องอึ้ง เมื่อได้ขุดลึกลงไปก็พบว่าในห้วงเพียง 3 เดือนที่ผ่านมา สาวทอมรายนี้ตระเวนก่อเหตุ ลักทรัพย์ ยักยอก ฉ้อโกง คล้าย ๆ กันยาวเหยียดเป็นหางว่าวหลายสิบคดี โดยแผนประทุษกรรมที่ตรวจสอบพบที่สาวทอมรายนี้ตระเวนก่อเหตุคือ 1.หลอกลวงขอเช่าโทรศัพท์ หรือกล้อง โดยอ้างว่าจะนำไปดูคอนเสิร์ตเกาหลี โดยเมื่อได้ของแล้วก็นำไปขายแล้วหายเข้ากลีบเมฆ , 2.หลอกลวงการเช่าโรงแรม หรือหลอกขายบัตรดูคอนเสิร์ตเกาหลี แล้วชิ่งหนีหาย , 3.ลักทรัพย์ ขโมยโทรศัพท์ด้วยการล้วงกระเป๋าเหยื่อ โดยอาศัยความชุลมุนในพื้นที่การจัดคอนเสิร์ตเกาหลี , 4.ฉ้อโกงทางโลกออนไลน์ เปิดเพจเฟซบุ๊กต่างๆ นานา ขายของทางออนไลน์ ได้เงินแล้วหนีหายไม่มีการส่งของ และ 5.ตระเวนขอยืมเงินกับเพื่อนในโลกออนไลน์แล้วไม่คืน
โดยลงมือก่อเหตุมาอย่างต่อเนื่อง เรียกได้ว่าโกงชาวบ้านเป็นอาชีพ จนเหล่าผู้เสียหายได้รวมตัวสร้างกลุ่มจองกฐินสาวทอมรายนี้เป็นจำนวนมาก ซึ่งแต่ละ สน.ก็ได้มีการออกหมายเรียกสาวทอมรายนี้ไปแล้วจำนวนมาก บางออกหมายเรียกไปครบ 2 ครั้งแล้ว สาวทอมยังไม่มารับทราบข้อกล่าวหาอยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐานเพื่อขออนุมัติออกหมายจับ แต่ความแสบของสาวทอมรายนี้ยังไม่จบสิ้น เพราะเจ้าตัวตระเวน “แจ้งความกลับ” เหล่าผู้เสียหายเกือบทุกราย โดยอ้างว่าตนเองถูกข่มขู่ ถูกกลั่นแกล้งต่างๆ นานา
พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ผบก.สส.บช.น. ทราบเรื่องส่งชุดสืบสวนออกไล่ล่าติดตามทันที ซึ่งจากการติดตามพบว่าสาวทอมตระเวนเปลี่ยนที่พักไปเรื่อยๆ ส่วนเงินที่โกงชาวบ้านมานั้นได้นำไปใช้ชีวิต กินหรูซื้อของแพง หลบๆ ซ่อนๆ จนต่อมาหนึ่งในกลุ่มผู้เสียหายที่นำข้อมูลกับชุดสืบสวนว่าพบเห็นคนร้าย หลบหนีไปอยู่ห้องเช่ากับเพื่อนสาวคนหนึ่งในพื้นที่ย่านบางนา พล.ต.ต.ธีรเดชฯ จึงได้นำกำลังบุกไปที่ห้องพักในคอนโดชื่อดัง ถ.รามคำแหง 2 แขวงดอกไม้ เขตประเวศจ.กรุงเทพฯ แต่ปรากฏว่าพบเพียงเพื่อนสาว แต่ไม่พบตัวคนร้าย
จากการสอบถามเพื่อนสาวก็ไม่ทราบว่าสาวทอมออกไปไหน เหมือนจะคว้าน้ำเหลว แต่ชุดสืบสวนดันเห็นสิ่งของสำคัญของสาวทอมยังคงอยู่ภายในห้อง สัญชาตญาณบอกทันทีว่าคนร้ายต้องกลับมาแน่นอน จึงได้วางแผนซ่อนตัวแอบดักคอยภายในห้องพักตามซอกมุมอับ เฝ้ารอสาวทอมกลับมาที่ห้องอย่างใจจดใจจ่อ กว่า 2 ชั่วโมง
กระทั่ง สาวทอมได้เคาะประตูห้องพัก เมื่อเปิดเข้ามาก็ถูกชุดสืบสวนที่แอบอยู่จับกุมแบบเซอร์ไพรส์ไปตามระเบียบ ซึ่งหลังการจับกุมชุดสืบสวนนำตัวกลับมาขยายผลพบทำเอาทั้งชุดสืบสวนถึงกับขนลุกซู่ เพราะได้พบกับข้อความแชตที่ผู้ต้องหาทักหาหมอดู โดยหมอดูได้ทายให้ผู้ต้องหาหลบออกจากห้องพักในห้วงเวลาที่ชุดสืบสวนเข้าไปตรวจสอบอย่างพอดิบพอดี
ในชั้นจับกุม ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา โดยให้การว่า “ตนเองจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จากโรงเรียนชื่อดังใน จ.ร้อยเอ็ด แล้วไม่ได้เรียนต่อ เรื่องคดีที่เกิดขึ้นทั้งหมด ตนเองเคลียร์หมดแล้ว ยืนยันว่าไม่ได้โกงใคร แล้วตนเองก็ได้มีการแจ้งความกลับเหล่าผู้เสียหายหลายๆ รายด้วย ก่อนถูกจับกุมตนเองก็พึ่งโทรศัพท์คุยกับตำรวจรายหนึ่งมา โดยที่ตนเองถูกศาลออกหมายจับนั้นเพราะตนเองป่วยจึงไม่ได้ไปตามหมายเรียก
หลังจับกุมขยายผลได้นำของกลางนำส่งพนักงานสอบสวน สน.พญาไท ดำเนินคดี ส่วนตัวผู้ต้องหาได้นำส่งศาลจังหวัดร้อยเอ็ด เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยหลังจากนี้จะมีการขออนุมัติออกหมายจับคนร้ายรายนี้อีกหลายคดี ซึ่งจะมีการนำหมายจับไปประสานอายัดตัวต่อไป