"ปานเทพ" ชี้ "ทนายตั้ม" ดิ้นยากเปลี่ยนคดีฉ้อโกงเป็นคดีแพ่ง แนะรับสารภาพ

สังคม

"ปานเทพ" ชี้ "ทนายตั้ม" ดิ้นยากเปลี่ยนคดีฉ้อโกงเป็นคดีแพ่ง แนะรับสารภาพ

24 พ.ย. 2567

288 views

นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ให้สัมภาษณ์ถึง คดีฉ้อโกงของนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้มว่า ที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ ซึ่งเชื่อว่าขณะนี้ทนายตั้มประเมินสถานการณ์ไม่ถูก แม้จะมีทนายเข้าไปรายงานสถานการณ์ แต่ก็ไม่เหมือนกับคนที่อยู่ข้างนอก อาจจะประเมินเข้าข้างตัวเองว่ามีประเด็นที่จะสามารถต่อสู้ได้ และหากดูจากน้ำเสียงของทนายสะท้อนให้เห็นว่า แม้แต่ทนายที่อยู่รอบข้างทนายตั้ม ก็ประเมินสถานการณ์ว่า หากยังคงเดินหน้าประเด็นที่ว่า ได้รับเงิน 71 ล้านมาโดยเสน่หา จะไม่สามารถสู้คดีได้



ดังนั้นทนายสายหยุดจึงคิดจะแปลงเป็นคดีแพ่ง แล้วให้มีการคืนเงินแทน ทำให้นายสายหยุด เพ็งบุญชู ทนายความ กับทนายตั้มอาจมีความคิดไม่เหมือนกัน แล้วตนจะเห็นว่าทนายสายหยุด เป็นคนที่มีคุณธรรม แล้วหวังว่าจะยืนหยัดในทางที่ถูกต้อง ให้คำแนะนำที่ถูกต้องกับทนายตั้ม และขึ้นอยู่กับว่าทนายตั้มจะไว้วางใจทนายสายหยุดแค่ไหน



ซึ่งที่ผ่านมา สำนักงานทนายความ ของทนายตั้ม ให้น้ำหนักนายอาคม คงสวัสดิ์ หรือทนายอาคมมากกว่าทนายสายหยุด แต่เนื่องจากมีเรื่องบาดหมางกัน ทำให้ทนายอาคมไม่ได้ทำคดีให้ แต่วันนี้ตนเชื่อว่าทนายที่อยู่รอบข้างทนายตั้มประเมินสถานการณ์ถูก ว่าขณะนี้ทนายตั้มเสียเปรียบ และการจะลดความเสียเปรียบได้ดีที่สุดคือการสารภาพ แล้วคืนทรัพย์สินทั้งหมดให้ อาจทำให้สถานการณ์ดีขึ้นกว่าเดิม



เมื่อถามถึงความเป็นไปได้ที่จะเปลี่ยนคดีอาญาเป็นคดีแพ่ง นายปานเทพ กล่าวว่า ตอนนี้ถือว่ายากแล้ว เพราะการที่ทนายตั้มเตรียมสัญญาไว้ตั้งแต่ต้น สะท้อนให้เห็นว่ามีการคิดวางแผนโดยใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ ฟอกความผิดให้ตัวเองหลังกระทำผิด และน่าเสียดายที่ประเมินสถานการณ์ต่ำไป เพราะแชตข้อความทั้งหมดได้ถูกส่งไฟล์ที่ถูกต้องทั้งหมดไปให้กับคู่กรณี ดังนั้นคดีนี้จึงดิ้นยากมาก ที่จะเปลี่ยนจากคดีฉ้อโกงเป็นคดีแพ่ง เพราะตอนนี้เป็นคดีฉ้อโกงแน่นอน



"ทั้งวิธีการของทนายตั้ม และการจะทำสัญญา แบบไม่ให้เซ็นสัญญาทุกหน้าไว้ล่วงหน้า ซึ่งเห็นว่าระดับสอบเนติบัณฑิตได้แต่กลับมาทำแบบนี้ แสดงให้เห็นว่ามีเจตนาอยู่แล้ว แต่แรกที่จะเอาเงินคู่กรณี ไม่ได้ใช้ความคิดในการลงทุนอะไร ยิ่งได้เงินมาแล้วนำไปซื้อบ้าน ยิ่งถือว่าไม่มีเหตุผล แล้ววันแรกที่ได้เงินมา กลับนำไปใช้สอยอย่างมโหฬาร และหลังจากนั้น 1 เดือนก็ไปซื้อบ้านด้วยเงินสด ดังนั้นโอกาสที่จะแก้ให้เป็นคดีแพ่ง ถือว่ายากมาก" นายปานเทพกล่าว



เมื่อถามถึงความเป็นไปได้ที่ทนายตั้มแต่ยังมีหลักฐานเด็ด นายปานเทพ กล่าวว่า หากมีหลักฐานเด็ดและเป็นหมัดน็อกได้จริง ไม่มีทางมาถึงวันนี้ได้เลยที่ต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำ รวมถึงภรรยา และคดีที่เพิ่มเป็นคดีฟอกเงิน มีการอายัดทรัพย์และไม่ได้รับการประกันตัว ถ้ามีเด็ดจริงคงโชว์ไปนานแล้ว แสดงว่าสิ่งที่มีในมือน้ำหนักไม่เพียงพอ และตนเชื่อว่าคงไม่มีหมัดเด็ดจริง



นายปานเทพ ยังกล่าวถึงกรณีที่ทนายตั้มนำ GPS ไปติดที่รถของ เจ๊อ้อยว่า GPS เป็นเทคโนโลยีที่สามารถตรวจสอบได้ด้วยเทคโนโลยี แต่เรื่องติดมีสาระสำคัญน้อยกว่าเรื่องใครเป็นคนลงทะเบียนในสัญญา เป็นชื่อใคร ส่วนที่ทนายตั้มอ้างว่าไม่มีการดาวน์โหลดแอปพลิเคชันไว้ในโทรศัพท์มือถือ นายปานเทพย้อนถามกลับว่า ไหนว่าโทรศัพท์หาย แล้วเหตุใดอ้างว่าไม่มีการดาวน์โหลด ส่วนประเด็นถัดไป คือชื่อที่ปรากฏ และไม่สามารถเปลี่ยนได้ เข้าไปส่องดูพิกัด เป็นชื่อของภรรยาทนายตั้ม ซึ่งเป็นหลักฐานทางวิทยาศาสตร์จึงไม่มีประโยชน์ที่จะถกเถียงด้านวรรณกรรม



นายปานเทพ กล่าวว่าไม่อยากฝากอะไรไปถึงทนายตั้ม เพราะคิดว่าคงไม่ได้ยินในสิ่งที่ตนพูด ถึงมีคนไปสื่อสารแต่เชื่อว่าทนายตั้มมีอคติ ไม่เชื่อว่าสิ่งที่ตนพูดไปเป็นเรื่องจริง หรืออาจจะถูกดัดแปลง แต่คนที่มีน้ำหนักที่ทนายตั้มต้องฟัง คือทนายสายหยุดที่ต้องกล้าพูดความจริง ประเมินสถานการณ์จริง ๆ ถ้าจะให้ตนให้คำแนะนำกับทนายสายหยุด ต้องไปบอกกับทนายตั้มว่าสถานการณ์ข้างนอกตอนนี้แย่มาก ถ้าแน่จริงรับสารภาพจะมีประโยชน์มากกว่า แต่หากไม่รับสารภาพและยืนยันจะต่อสู้ในแนวทางนี้ ทนายสายหยุดก็มีสิทธิ์ที่จะถอนตัวได้



ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าหากทนายตั้มยอมรับและขอโทษเจ๊อ้อย จะเป็นคดีแพ่ง คืนเงินแล้วทุกอย่างจะจบนั้น นายปานเทพกล่าวว่า คงเป็นไปไม่ได้ เพราะตอนนี้เป็นคดีอาญา เป็นคดีฉ้อโกงหลายกรรม เพราะทำหลายครั้ง โดยเฉพาะคดี 39 ล้าน ชัดเจนว่ามีการวางแผนเป็นขั้นเป็นตอน ตั้งแต่แรกถึงขนาดวางแผน ให้ตัวเองอยู่ต่างประเทศเพื่อไม่ให้มีหลักฐาน เมื่อวันที่ถอนเงินสด ตัวเองอยู่ในประเทศ



ตนเชื่อว่าเมื่อถึงชั้นศาลจะเข้าใจถึงพฤติการณ์ของคนที่เป็นนักกฎหมาย และใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ ในการทำพรางตัวเอง เพื่อได้มาซึ่งเงินของผู้อื่น เชื่อว่าคนที่อยู่ในเรือนจำไม่มีทางรู้ข้อมูลเท่ากับคนนอกเรือนจำ โอกาสจะเบี่ยงคดีเป็นอย่างอื่นยากมาก



หากทนายตั้มคิดได้ตัดสินใจสารภาพประกาศคืนทรัพย์สินทั้งหมดเดี๋ยวนี้ เชื่อว่าศาลจะลดโทษ เพราะการสำนึกผิดยอมรับการกระทำผิด เป็นหนทางเดียว ที่จะทำให้โทษหนักกลายเป็นเบา และไม่แน่ใจว่าโทษที่เบาลงนั้นเจ๊อ้อยจะเดินสุดทางต่อหรือไม่ ถ้าสำนึกอย่างแท้จริงเราก็ไม่สามารถตอบแทนเจ๊อ้อยได้ แต่ถึงวันนี้ทนายตั้มไม่ได้ยอม เพราะยังใช้ช่วงทำนองเล่ห์เหลี่ยม ข่มผู้โดยการใช้วาทกรรม ซึ่งต้องยอมรับในศาลอย่างเดียว



เมื่อถามว่าตอนนี้ ยังไม่มีการไปแจ้งข้อหากรณี 39 ล้านบาท คิดว่าตำรวจ ยังมีข้อหาอื่นอีกหรือไม่ นายปานเทพกล่าวว่า ตำรวจชุดที่ทำคดีทุ่มเททำคดีอย่างละเอียด การใช้เวลานานแต่ละคดีไม่ใช่ว่าหาหลักฐานไม่เจอ แต่รู้ว่ากำลังต่อสู้กับนักกฎหมายชื่อดังในประเทศไทย และมีเส้นสายจำนวนมาก ดังนั้นการนำไปสู่การแจ้งข้อหา ต้องรัดกุมแบบไม่มีรอยรั่ว หรือหากจะมีต้องน้อยที่สุด จึงมองว่าตำรวจใช้เวลาเพื่อให้รัดกุมรอบคอบ



นายปานเทพ กล่าวว่าอยู่ที่ผู้กำกับสน.บางซื่อ ว่าจะดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดในการลงบันทึกประจำวัน อันนี้ข้อความเป็นเท็จและใช้บันทึกที่มีข้อความเป็นเท็จไปใช้หลอกลวงผู้อื่นหรือไม่ ถ้าสำเนาบัตรชื่อยังไม่ดำเนินการ ถ้าสน.บางซื่อไม่ดำเนินการเชื่อว่าจะโดนฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157 ที่ปล่อยให้มีการลงบันทึกประจำวันที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และใช้เป็นหลักฐานเครื่องมือในการหลอกผู้อื่น ซึ่งถือเป็นเรื่องอันตรายมาก



ดังนั้นการสอบสวนเรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องสมควรแก่เหตุ ผู้กำกับสน.ต้องแสดงความบริสุทธิ์ใจ ดำเนินคดีกับทุกคนที่เกี่ยวข้อง ไม่ใช่เฉพาะคนที่ลงบันทึกประจำวัน ถ้าไม่อยู่ในขบวนการเดียวกัน ก็ต้องเอาผิดกับคนเหล่านี้



เมื่อถามว่าวันนี้ส่อแววผู้กำกับจะโดนด้วยหรือไม่ นายปานเทพกล่าวว่า มีสิทธิ์ที่จะโดนหากละเว้นการปฏิบัติหน้าที่



ส่วนที่นายสายหยุด เพ็งบุญชู ทนายความของทนายตั้มจะเข้าไปพบทนายตั้มในวันจันทร์นี้หากแนวทางไม่ตรงกันมีโอกาสที่ไม่ทำคดีต่อ หรือไม่นายปานเทพ กล่าวว่า ส่วนตัวยังเชื่อมั่นทนายสายหยุด เพราะทนายสายหยุดรู้ว่าหากต่อสู้แบบเดิมคงไม่ชนะ ตนยังเชื่อในความคิดอ่านของทนายสายหยุดว่า ยังเป็นคนที่มีธรรมอยู่ แล้วหวังว่าภายใต้มโนสำนึกของทนายสายหยุด ที่รู้ผิดรู้ชอบ ต้องรู้ว่าสถานการณ์ ทนายตั้มตอนนี้เป็นคนดีหรือไม่ดี ทำที่หน้าของทนายสายหยุดน่าจะมีบทบาทสำคัญต่อการตัดสินใจของทนายตั้ม



การที่จะไปพบวันจันทร์นี้จะเป็นตัวตัดสินใจว่าทนายสายหยุดจะช่วยทำคดีให้ทนายตั้มต่อไปหรือไม่ และตอนนี้ตนเห็นว่า ทีม Adventure ที่ไม่ใช่เพื่อนสนิท ของทนายตั้มและยึดมั่นตามกฎหมาย ก็มีทิศทางเดียวกัน ประชาชนและสังคมก็เกือบจะเป็นฉันทานุมัติเดียวกันแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับคดีนี้ ตอนนี้ตนเชื่อว่าทนายตั้ม ประเมินสถานการณ์ข้างนอก ต่ำกว่าความเป็นจริงส่วนเรื่องพินัยกรรม นายปานเทพ กล่าวว่า น่าจะเป็นพฤติการณ์แวดล้อมประกอบ สำนวน ตรงนี้จะเป็นดัชนีชี้วัดองค์ประกอบ เข้าฐานความผิด



เมื่อถามว่าสัปดาห์หน้าจะมีอะไรเซอร์ไพรส์หรือไม่นายปานเทพกล่าวว่าจะรอ ให้ทนายสายหยุดพูดวันจันทร์ก่อน ถ้ามีสิ่งใดที่จำเป็นต้องพูด ก็จะมีการพูดอีกครั้ง

แท็กที่เกี่ยวข้อง  

คุณอาจสนใจ