แม่อ้างลูกชอบหนีเที่ยว - ดื้อ โมโหฟาดจนไม้หักคามือ ยันเพราะรักและห่วงจึงต้องตี

ข่าวโซเชียล

แม่อ้างลูกชอบหนีเที่ยว - ดื้อ โมโหฟาดจนไม้หักคามือ ยันเพราะรักและห่วงจึงต้องตี

โดย nicharee_m

29 ต.ค. 2564

485 views

โซเชียลแชร์คลิปแม่โมโหฟาดลูกจนไม้หักคามือ แม้ลูกสาวจะร้องอ้อนวอนให้หยุด ด้านแม่อ้างลูกดื้อชอบหนีเที่ยว


มีคลิปจากบัญชีทวิตเตอร์ของ เจ๊ม้อย v plus เป็นคลิปที่พลเมืองดีบันทึกเหตุการณ์แม่รายหนึ่งได้ทำโทษลูกสาว โดยใช้ไม้ฟาดไปที่ลูกอย่างแรงหลายครั้ง จนไม้หักคามือ ขณะที่ลูกสาวได้แต่ร้องไห้ กรี๊ดๆ อ้อนวอนให้แม่หยุด บอกหนูเจ็บๆ แต่แม่รายนี้ก็ไม่หยุด สุดท้ายตีลูกไปทั้งหมด 12 ครั้ง ก่อนจะเดินหนีไป นอกจากนี้ยังท้าให้คนที่ถ่ายคลิปแจ้งความด้วย


ทีมข่าวติดต่อสอบถามพลเมืองดี ผู้เห็นเหตุการณ์ เล่าว่า แม่รายนี้ ได้ปั่นจักรยานมาตามลูกกลับบ้าน แต่ลูกสาวไม่ยอมกลับ ยื้อกันไปยื้อกันมา จนแม่เกิดอารมณ์โมโห แล้วก็ไปหากิ่งไม้มาตี แต่ลูกก็ไม่ยอมกลับ สุดท้ายต้องเอาไม้มาตีลูก ประมาณครึ่งชั่วโมง ซึ่งชาวบ้านในพื้นที่หลายคนที่เหตุการณ์ พยายามห้ามปรามแล้ว แต่แม่รายนี้ก็ไม่ยอมหยุด พร้อมกับท้าให้ไปแจ้งความอีก ซึ่งชาวบ้านในพื้นที่ทราบกันดีว่า เห็นพฤติกรรมแม่รายนี้มักจะตีลูกสาวอยู่เป็นประจำ รู้สึกสงสารเด็กมาก


ซึ่งหลังเกิดเหตุ ตำรวจได้นำตัวแม่รายนี้ไปสอบสวน และบันทึกประจำวัน ที่ สถานีตำรวจภูธรสรรคบุรี เอาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขณะที่สอบสวนทางแม่ยืนยันว่า ยังดูแลลูกได้


วันนี้ทีมข่าวลงพื้นที่ไปยังบ้านเช่าหลังหนึ่ง ใกล้กับตลาดสรรคบุรี พบแม่ที่ก่อเหตุตีลูกจนไม้หัก โดยอาศัยอยู่กัน 3 คนแม่ลูกเพียงลำพัง ลูกสาวอายุ 9 ขวบ กับ 8 ขวบ โดยแม่เด็ก เปิดเผยว่า ลูกชอบหนีเที่ยวเป็นประจำ ตนเป็นห่วงลูกเพราะเริ่มเป็นสาวแล้ว ซึ่งลูกจะชอบหนีเที่ยวไปในตลาดหน้าวัดมหาธาตุ ที่แถวนั้นคนสติไม่ดีเยอะ กลัวลูกถูกทำมิดีมิร้าย ก่อนที่จะลงมือได้บอกลูก 2-3 ครั้งแล้ว แต่ไม่ฟัง ตอนนั้นตนทำงานอยู่นายจ้างบอกให้ไปดูหน่อย จึงทิ้งงานไปดูลูก บอกให้เขากลับบ้าน แต่ลูกกลับวิ่งหนี ขู่ว่าถ้าไม่กลับจะเรียกครูมาดู แต่ลูกก็เฉย เขาดื้อจึงหาไม้มาตี ซึ่งเป็นไม้ที่ผุแล้วไม่ใช่ไม้แข็งๆ ไม้จึงได้หัก


แม่รายนี้บอกว่าด้วยว่า ก่อนหน้านี้ไม่เคยตีลูกมาก่อน พยายามเตือนลูกตลอด ข่าวที่ออกไปทำให้ตนเสียหาย ไม่ใช่ตนไม่รักลูก เป็นเพราะตนรักและห่วงลูกจึงต้องตี ตนตีลูกของตัวเอง ไม่ได้ไปตีลูกคนอื่น อยากให้สังคมเข้าใจ เพราะตนต้องเลี้ยงดูลูกเพียงคนเดียว ต้องออกไปทำงานทุกวัน และทั้งต้องคอยดูแลลูก ไม่มีใครช่วยดูแล


ขณะที่สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ หรือพม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เตรียมเข้าไปพูดคุยกับครอบครัวนี้ เพื่อให้ความช่วยเหลือต่อไป

คุณอาจสนใจ