สหภาพยุโรป หรือ อียู จะไม่ต่อสัญญาสั่งซื้อวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตราเซเนก้า หลังสิ้นสุดสัญญาเดือนมิถุนายนนี้

แนวโน้มการไม่ต่อสัญญากับแอสตราเซเนก้า เป็นสิ่งที่สื่อต่างๆ คาดเดากันก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งนายเธียร์รี่ เบรตัน (Thierry Breton) กรรมาธิการยุโรปด้านตลาดภายใน เป็นคนเปิดเผยในการให้สัมภาษณ์เมื่อวานนี้ (9 พ.ค.) กับสถานีวิทยุแห่งหนึ่งของฝรั่งเศส

ก่อนหน้านี้ 1 วัน สหภาพยุโรปเพิ่งประกาศไปว่า จะต่อสัญญาซื้อวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของไฟเซอร์-ไบโอเอ็นเท็ค ชุดใหญ่ ตั้งแต่ปีนี้ไปจนถึงปี 2023 จำนวน 1,800 ล้านโดส

ขณะที่ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส กล่าวว่า ฝรั่งเศสและยุโรปจะยังคงใช้วัคซีนของแอสตราเซเนก้า สต็อคที่ยังมีอยู่ให้หมด เพื่อช่วยควบคุมการแพร่ระบาด แต่ในอนาคตการสั่งซื้อวัคซีนของสหภาพยุโรปจะมุ่งเน้นไปที่บริษัทอื่นๆ ที่มีประสิทธิภาพมากกว่า

ทั้งนี้ เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน เกิดกรณีระหว่างอียูกับบริษัทแอสตราเซเนก้า มาก่อนหน้านี้แล้ว ทั้งเรื่องการส่งมอบวัคซีนล่าช้าให้กับ 27 ชาติสมาชิกอียู และเมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา อียูได้เริ่มกระบวนการทางกฏหมายยื่นฟ้องแอสตราเซเนก้า ที่ไม่ทำตามข้อตกลงการส่งมอบวัคซีน

ขณะที่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา หลายประเทศในยุโรประงับการใช้วัคซีนแอสตราเซเนก้าชั่วคราว หลังพบการเชื่อมโยงว่า เกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันหลังฉีดแอสตราเซเนก้า จากนั้นหลายประเทศก็ออกคำแนะนำให้ใช้วัคซีนดังกล่าวกับประชาชนที่อายุมากกว่า 40, 50 และ 60 ปีเป็นต้นไปเท่านั้น หลังจากพบความเสี่ยงภาวะลิ่มเลือดอุดตันในกลุ่มคนที่อายุน้อย

ล่าสุดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (7 พ.ค.) สหราชอาณาจักรแนะนำให้เลี่ยงการฉีดแอสตราเซเนก้า ให้คนอายุต่ำกว่า 40 ปี โดยขอให้กลุ่มคนดังกล่าวเลือกฉีดวัคซีนของบริษัทอื่นแทน

สามารถดูข่าวทาง Youtube ได้ที่ : https://youtu.be/RLZqYcCU_as