ตายายร้องถูกคนในหมู่บ้านออกโฉนดทับที่แล้วฟ้องขับไล่ ด้านคู่กรณีโต้มีเอกสารสิทธิ์ถูกต้อง

สังคม

ตายายร้องถูกคนในหมู่บ้านออกโฉนดทับที่แล้วฟ้องขับไล่ ด้านคู่กรณีโต้มีเอกสารสิทธิ์ถูกต้อง

โดย

15 ส.ค. 2563

12.1K views

ขอนแก่น-ตายาย ชาว อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น ร้องขอความช่วยเหลือผ่านสื่อมวลชน หลังถูกคนในหมู่บ้านออกโฉนดทับที่ดินตัวเอง แล้วฟ้องร้องขับไล่ให้ออกไปจากพื้นที่ ยืนยันอยู่อาศัยทำมาหากินนานกว่า 43 ปีวอนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบช่วยเหลือ ขณะที่คู่กรณียืนยันมีเอกสารสิทธิ์ถูกต้อง แต่ตายายพยายามจะฮุบเอาที่ดินคนอื่นไปเป็นของตัวเอง ไกล่เกลี่ยหลายครั้งแต่ตายายไม่ยอมจบ ขอเข้าสู่กระบวนการชั้นศาล
วานนี้ (14 ส.ค.) ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งโพสต์คลิปคุณยายท่านหนึ่งพูดขอความช่วยเหลือโดยระบุว่า ถูกคนฟ้องร้องขับไล่ออกจากที่ดินตัวเอง เพราะบุคคลดังกล่าวมาทำการรังวัดทับที่ดินตัวเอง ก่อนจะออกโฉนดทับที่เพื่อจะขับไล่จนไม่ให้มีที่อยู่อาศัย โดยระบุข้อความว่า  “เหตุเกิดที่ บ้านเลขที่70 หมู่ที่10 ต.หนองแปน อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น ขอความช่วยเหลือยายด้วย บ้านยายถูกเจ้าหน้าที่ออกโฉนดที่ข้างเคียงผิดพลาดรวมเอาที่และบ้านยายเข้าไปในโฉนดคนอื่น แล้วเจ้าของโฉนดฟ้องขับไล่ยายออกจากที่ของตนเอง ยายอาศัยอยู่บ้านหลังนี้และทำประโยชน์กับที่แปลงนี้ตั้งแต่ปี พศ.2519ไม่เคยย้ายไปที่ไหนเลยอยู่มา 43 ปีแล้ว” ซึ่งภายหลังจากมีการโพสต์ลงในเฟซบุ๊กส่วนก็ ก็มีชาวเน็ตจำนวนมากเข้ามาแสดงความคิดเห็นและแชร์ข้อความออกไปเป็นจำนวนมาก โดยส่วนใหญ่ประฌามคู่กรณีของคุณยายที่ทำได้แม้แต่คนแก่
ต่อมาผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ไปยังที่ดินที่มีข้อพิพาทดังกล่าว โดยได้พบกับนายสมบูรณ์ ชาแก้ว อายุ 73 ปี และนางลำดวน ชาแก้ว อายุ 73 ปี สองสามีภรรยา ได้นำเอกสารสำคัญที่เกี่ยวข้องกับที่ดินที่อาศัยอยู่มาให้ดู ทั้งสัญญาซื้อขายกับเจ้าของที่ดินเดิม และเอกสารอื่นๆ ที่ทางราชการออกมาให้ดู โดยในหนังสือสัญญาซื้อขาย ซึ่งเขียนด้วยลายมือระบุว่า เขียน ณ ที่ทำการกำนันตำบลหนองแปน เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2519 ระหว่างผู้ขายคือนายเถลิง เกตเวชสุริยา และผู้ซื้อ นายสมบูณณ์ ชาแก้ว ราคา 1,600 บาท ซึ่งในสัญญาดังกล่าว ยังมีการลงชื่อผู้ขาย ผู้ซื้อและพยานอีก 3 คนไว้เรียบร้อยทั้งหมด
นางลำดวน ชาแก้ว อายุ 70 ปี เปิดเผยว่า ซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวจากเพื่อนบ้านในราคา 1,600 บาท ในปี พ.ศ. 2519 เมื่อซื้อแล้วจึงปลูกบ้านพักอาศัยอยู่กัน ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่เคยมีปัญหาใดๆ เกิดขึ้น กระทั่งช่วงต้นปีที่ผ่านมา มีผู้ใหญ่บ้าน บ้านโนนแสนสุข ม.9 เดินทางมารังวัดที่ดินพร้อมกับเจ้าหน้าที่จากสำนักงานที่ดินจังหวัดขอนแก่น สาขามัญจาคีรี พร้อมทั้งเจ้าของที่ดินที่อยู่ข้างเคียง 
ซึ่งในขณะนั้น ผู้ใหญ่บ้านและกลุ่มคนที่มาด้วยกัน เรียกให้ลงชื่อ จึงลงชื่อให้เพราะคิดว่า ที่ดินติดกันลงชื่อให้ว่าเป็นที่ข้างเคียง คงจะไม่มีปัญหาใดๆ เกิดขึ้น อีกทั้งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐมีอำนาจตนเองและสามีก็ไม่กล้าขัดขืน โดยลงลายเซ็นต์ให้ตามคำแนะนำของคนกลุ่มดังกล่าว และในเย็นวันเดียวกัน ก็มีเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดิน ที่อยู่ติดกันทางด้านทิศเหนือ เอาเสามาปักหมุดเพื่อแสดงเขตที่ดินตัวเองในบริเวณบ้านของตน จึงได้สอบถาม จนได้คำตอบว่า บุคคลดังกล่าวปักเสาเขตที่ดินของตัวเองตามที่เจ้าหน้าที่รังวัดที่ดินแจ้งมา ซึ่งตนเองและสามีก็แย้งไปว่าเป็นที่ดินของตนเอง มีหลักฐานแสดงสิทธิ์ชัดเจน จากนั้นจึงเดินทางไปที่ สภ.มัญจาคีรี เพื่อแจ้งความในการถูกลุกล้ำที่ดิน ซึ่งได้รับคำแนะนำให้ไปที่สำนักงานที่ดินอำเภอมัญจาคีรี จากนั้นก็ทำเรื่องคัดค้านในการรังวัด ออกโฉนดที่ดินให้กับเจ้าของรายดังกล่าว รวมถึงร้องที่ศูนย์ดำรงธรรมอำเภอมัญจาคีรีด้วย เมื่อเรื่องคัดค้านถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก็มีการเรียกไกล่เกลี่ยเจรจา หลายครั้ง แต่ไม่มีผลการสรุป อีกฝ่ายจึงมีการแต่งตั้งทนายความทำเรื่องฟ้องร้องไปที่ศาล และมีการเรียกไกล่เกลี่ย แต่ครั้งล่าสุดอีกฝ่ายบอกว่า ถ้าอยากจะจบต้องเอาเงินมาซื้อที่ดินคืนในราคางานละ 150,000 บาท รวม3งาน คิดราคาเพียง 400,000 บาท แต่ทางครอบครัวไม่ยินยอม เพราะยืนยันว่าเป็นที่ดินของตัวเองอย่างถูกต้อง เรื่องจึงเข้าสู่กระบวนการของชั้นศาล ซึ่งศาลนัดไกล่เกลี่ยอีครั้งในวันที่ 12 ตุลาคม ที่จะถึงนี้
ทางด้านนายสมบูรณ์ ชาแก้ว อายุ 73 ปี กล่าวว่า คนที่นำเจ้าหน้าที่ที่ดินมารังวัดที่ดินนั้น ก็เป็นชาวบ้านในหมู่บ้านเดียวกัน เมื่อครั้งที่นำเสามาปักแนวที่ดินในบริเวณบ้าน ได้มีการสอบถาม จนทราบว่าอีกฝ่าย จะมีการแบ่งแยกที่ดินใน 1 แปลงเป็น 3 แปลง จึงต้องรังวัด และการรังวัด การส่องกล้อง จนทราบแนวหลักเขต จึงต้องปักเสาแนวเขตฝนบริเวณบ้าน ซึ่งเกือบหมดทั้งแปลง จึงเป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้ เพราะครอบครัวมีหลักฐานการซื้อขายและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับที่ดินแปลงดังกล่าว ถ้าหากไม่จบก็ให้อีกฝ่ายนำเงินมาซื้อที่ดินในส่วนที่อยากได้ไปงานละ 10 ล้าน รวม 3 งาน เป็นเงิน 30 ล้านบ้าน จะย้ายออกทันทีจะไปซื้อที่ดิน ซื้อบ้านอยู่ที่อื่น ซึ่งยืนยันว่า ทุกแนวเขตที่ปัก ปักมานานหลายปี ไม่มีการขุดรื้อถอนแต่อย่างใด ส่วนหลักฐานที่ดินนั้นมีแน่นอน แต่อีกฝ่ายไม่รู้ จึงจะฮุบเอาที่ดินทั้งหมดไปเป็นของตัวเอง
ขณะเดียวกันผู้สื่อข่าวได้ไปพบกับนางบังอร เอนอ่อน ซึ่งเป็นหนึ่งในคู่กรณีของสองตายาย โดยอยู่ที่บ้าน แต่ไม่สะดวกที่จะให้สัมภาษณ์แต่สามารถพูดคุยได้ ซึ่งนางบังอร เอนอ่อน กล่าวว่า หลังจากมีการแชร์เรื่องของตายายในโซเชียล ครอบครัวก็ถูกสังคมในโลกโซเชียลต่อว่าอย่างหนัก มองเป็นคนไม่ดีทั้งที่ไม่รู้ความจริงแต่ตัดสินไปแล้วจากคำพูดของฝ่ายเดียว ซึ่งในความจริงไม่อยากจะพูดอะไรมาก เพราะเรื่องทั้งหมดเข้าสู่กระบวนการทางศาลแล้ว
โดยเบื้องต้น นางบังอร กล่าวว่า ที่ดินที่เกิดปัญหานั้นซื้อไว้นานหลายปีแล้ว โดยผู้ครอบครองโฉนดนั้นมี 3 ชื่อ ซึ่งเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกันร่วมกันซื้อ พอมาถึง ณ วันนี้ ต้องการที่จะแบ่งที่ดินผืนดังกล่าวเป็นสัดส่วนของใครของมัน จึงได้พูดคุยและตกลงร่วมกันว่า จะแบ่งที่ดินเป็น 3 แปลง 3โฉนด จึงให้เจ้าหน้าที่มารังวัด ซึ่งตายายได้คัดค้านโดยแจ้งเรื่องร้องเรียนไปยังหน่วยงานต่างๆ ทำให้การแบ่งที่ดินของตนเองและเครือญาติต้องสะดุดไม่สามารถดำเนินการได้ โดยทางคู่กรณีบอกว่าเป็นที่ดินของตัวแต่ แต่ในความเป็นจริงนั้น ตนเองมีหลักฐานเอกสารสิทธิ์ระบุที่ดินของตนเองชัดเจน มีหลักฐานครบถ้วน ซึ่งมีการพูดคุยกับทางคู่กรณีมาหลายครั้ง แต่ทางคู่กรณีไม่ยอมยืนยันว่าที่ดินตรงนี้ไม่ใช่ของตนเอง ซึ่งตนเองและครอบครัวก็ได้พยายามพูดคุยไกล่เกลี่ยประนีประนอมเพราะเป็นคนบ้านเดียวกัน หากตายายมาหลักฐานเอกสารสิทธิ์ยืนยันว่าที่ดินตรงนี้เป็นของตัวเองจริงก็ให้นำมายืนยันกับเจ้าหน้าที่ที่ดิน และตนเองก็พร้อมยอมถอยหากมีเอกสารยืนยันตริง แต่ในความเป็นจริงนั้น ตายายไม่มีและพยายามจะทำให้ที่ดินตรงนี้เป็นของตัวเอง ซึ่งหลักจากที่ไกล่เกลี่ยกันมาหลายครั้ง ทางเจ้าหน้าที่ที่ดินจึงแนะนำว่า หากเป็นเช่นนี้ไม่มีทางพูดคุยกันลงตัว ให้เข้าสู่กระบวนการของศาลทุกอย่างจะสามารถจบลงได้ ตนเองและครอบครัวไม่ได้อยากจะเข้าสู่กระบวนการของศาลเลย เพราะเป็นคนบ้านเดียวกัน ไม่อยากสร้างศัตรู แต่เมื่อตกลงกันไม่ได้ และเหมือนว่าเรื่องราวจะบานปลายจึงต้องดำเนินการตามกฎหมายและตามสิทธิ์ด้วยการเข้าสู่กระบวนการทางชั้นศาล
นางบังอร ยังกล่าวอีกว่า ล่าสุดที่ติดต่อกับสำนักงานที่ดินจังหวัดสาขามัญจาคีรี ออกตรวจสอบและรังวัดที่ดินซึ่งในการรังวัดที่ดินนางลำดวน ซึ่งมีที่ดินติดกันก็ยินยอมเซ็นชื่อให้ แต่อ้างว่าอ่านหนังสือไม่ออกซึ่งเป็นไปไม่ได้เพราะเจ้าหน้าที่ก็อธิบายให้ฟังอย่างชัดเจนด้วยหลักฐานต่างๆ ที่มี เมื่อรังวัดเรียบร้อยเจ้าหน้าที่รังวัดแจ้งให้ปักเสาเขตที่ดินตัวเองตามจุดต่างๆ รวมถึงในบริเวณบ้านของนางลำดวนด้วย จึงได้ทำการปักเสาเขตในบ้านของนางลำดวน กระทั่งเกิดเรื่องขึ้นจนมีการโพสต์ในโลกโซเชียลทำให้ครอบครัวกลายเป็นคนไม่ดีทั้งที่ครอบครัวก็ไม่ได้ทำผิดอะไร แต่ทั้งนี้ในการมีเรื่องพิพาทกันนั้น โดยส่วนตัวไม่ได้จะแย่งเอาที่ดินจากสองตายาย เพียงแต่ทำตามที่เจ้าหน้าที่ที่ดินแนะนำปักเสาแนวเขต ซึ่งเมื่อเกิดปัญหาจึงบอกกับสองตายายว่า ให้นำเอกสารหลักฐานการครอบครองที่ดินมาแสดง จะได้คืนที่ดินให้ จะได้จบกันไปโดยไม่มีการเรียกร้องเงินทองแม้แต่บาทเดียว ซึ่งแต่ละครั้งที่มีการเจรจาไกล่เกลี่ย ตายายอ้างถึงเอกสาร หลักฐาน แต่ไม่นำมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ มีเพียงการยืนยันว่าอยู่อาศัยมา 43 ปี โดยส่วนตัวจึงเชื่อว่าตายายน่าจะคิดว่าอยู่อาศัย การครอบครองปรปักษ์ในที่ดินหลายปี เป็นการกระทำที่ถูกต้อง แต่ในความเป็นจริง ช่วงที่ตายายอาศัยใน 10-20 ปี ก็น่าจะทำโฉนดในที่ดินเป็นเอกสารไว้ จะได้นำมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ หรือคัดค้านตั้งแต่ครั้งแรกที่มีการรังวัดออกโฉนดตัวนี้ขึ้นมา จึงให้ทนายความทำเรื่องฟ้องร้อง โดยจะขึ้นศาลในวันที่ 12 ตุลาคม ที่จะถึงนี้ ซึ่งก็อยากจะขอความเป็นธรรมให้กับครอบครัวตัวเองด้วยเช่นกัน
รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/reEmxg2u0QU

แท็กที่เกี่ยวข้อง  

คุณอาจสนใจ