นศ.ไทยในลอนดอน ป่วยโควิด-19 ไร้ทางรักษาหากไม่กลับคงต้องตาย ขอโทษคนไทยที่นำเชื้อมาติด

ข่าวโซเชียล

นศ.ไทยในลอนดอน ป่วยโควิด-19 ไร้ทางรักษาหากไม่กลับคงต้องตาย ขอโทษคนไทยที่นำเชื้อมาติด

โดย

29 มี.ค. 2563

80.8K views

กลายเป็นประเด็นที่วิพากย์วิจารณ์แตกต่างกัน 2 ด้าน เมื่อนักศึกษาไทยที่ศึกษาในลอนดอน ประเทศอังกฤษเดินทางกลับประเทศไทย ที่ทางด้านหนึ่งมีการแสดงความเห็นว่าเป็นการนำเชื้อมาแพร่กลับมาแพร่ในประเทศไทย แต่อีกมุมมองหนึ่งแสดงความเห็นว่า หากไม่กลับมานักศึกษาดังกล่าวอาจะเสียชีวิตได้

โดยนักศึกษาดังกล่าว ได้โพสต์เฟซบุ๊ก บันทึกเรื่องราวเหตุการณ์จากการติดเชื้อโควิด-19 โดยมีการไล่เรียงไทม์ไลน์ วันที่ 9 มี.ค. ขณะที่อยู่ที่ประเทศอังกฤษ เริ่มมีอาการคั่นเนื้อคั่นตัว เช้าวันรุ่งขึ้นเริ่มมีอาการเหนื่อยจึงได้กินยาพารา และลาหยุดเรียนในช่วงวันที่ 10 - 14 มี.ค. ขณะนั้นเป็นช่วงของการระบาดโควิด-19

วันที่ 15 - 16 มี.ค. เริ่มมีอาการเจ็บคอ แต่ทางรัฐบาลอังกฤษมีมาตรการว่า หากป่วยห้ามไปโรงพยาบาล โดยให้โทรศัพท์ไปที่สายด่วน และได้รับคำแนะนำว่าพักรักษาตัวในบ้าน 7 วัน ต่อมาวันที่ 17 มี.ค. เริ่มมีอาการหนาวสั่น จึงตัดสินใจไปโรงพยาบาล ปรากฏว่าทางโรงพยาบาลไม่อนุญาตให้เข้าไปภายในโรงพยาบาลและแนะนำว่าให้โทรศัพท์ไปที่สายด่วน โดยเล่าอาการว่าเจ็บเหมือนโดนแทงที่หน้าอกแต่ได้คำตอบกลับมาว่าให้อยู่บ้าน ทำได้แต่ร้องไห้ วนที่ 19 มี.ค. ไข้สูงถึง 39 องศา จึงโทรหาสายด่วนอีกครั้ง และได้คำตอบเช่นเดิมว่าให้อยู่บ้าน จึงตัดสินใจปรึกษากับครอบครัวกลับประเทศไทย

ในระหว่างทางที่เดินทางกลับมีอาการไข้มาตลอด เมื่อลงมาถึงจุดตรวจคนเข้าเมืองเข้าประเทศไทย จึงได้พยายามบอกเจ้าหน้าที่ว่าตนเองเป็นไข้ แต่เครื่องตรวจวัดได้ 36 องศา และพยายามบอกให้พาตนไปกักตัว เพราะอยู่ในกลุ่มเสี่ยง แต่ทางเจ้าหน้าที่บอกว่า ตามกฎของรัฐบาลไทยหากไม่มีไข้ให้กักตัวอยู่ที่บ้าน

จากนั้นจึงตัดสินใจไปพักที่โรงแรม และบอกกับคนขับแท็กซี่ว่า ตนอาจติดเชื้อโควิด-19 แต่คนขับแท็กซี่บอกว่าไม่เป็นอะไร เพราะอยู่ในความเสี่ยงตลอดเวลา ต่อมาจึงเดินทางไปตรวจที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งแต่ทนกับพิษแดดไม่ไหว ตัดสินใจเรียกรถแท็กซี่ไปอีกโรงพยาบาลหนึ่งและได้ตรวจ ผลปรากฏว่า เข้าภาวะฉุกเฉินเชื้อลงปอด แอดมิททันที

โดยท้ายโพสต์เธอบอกว่า ทันทีที่รู้ผลตรวจ ขอโทษคนไทยทุกคนที่ทำให้ติดเชื้อ แต่หากยังอยู่ที่ประเทศอังกฤษอยู่เธออาจเสียชีวิต

รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/QdGDe4J42gI

แท็กที่เกี่ยวข้อง  

คุณอาจสนใจ