สังคม
พิธีรำลึก 15 ปี 'สึนามิ' ถอดบทเรียนเพื่อสร้างความร่วมมือจัดการภัยพิบัติ - ยังมีศพนิรนาม 394 ศพ
26 ธ.ค. 2562
577 views
บ้านน้ำเค็ม ตำบลบางม่วง อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา จัดพิธีรำลึก 15 ปีสึนามิ โดยมีครอบครัวผู้สูญเสียทั้งไทยและต่างชาติ มาร่วมรำลึกผู้เสียชีวิต ที่ปีนี้มีเอกอัครราชทูตเยอรมันประจำประเทศไทย มาร่วมพิธีรำลึกกับชาวเยอรมนี
ชาวบ้านน้ำเค็ม โดยองค์การบริหารส่วนตำบล บางม่วง อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา ร่วมกันจุดเทียนรำลึกถึงผู้เสียชีวิตจากเหตุภัยพิบัติคลื่นยักษ์สึนามิ เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547 ซึ่งที่บ้านน้ำเค็มมีผู้เสียชีวิตกว่า 800 คน มากที่สุดในชายฝั่งอันดามัน มีทั้งชาวบ้านน้ำเค็ม ที่เป็นหมุ่บ้านชาวประมง และนักท่องเที่ยว ชาวต่างชาติ เสียชีวิตจำนวนมากด้วยเช่นกัน ทุกปีชาวบ้านน้ำเค็ม จึงร่วมกันชัดพิธีรำลึกถึงการสูญเสียครั้งประวัติศาสตร์ เมื่อ 15 ปีที่แล้ว ทั้งการจุดเทียน และกล่าวคำอาลัยให้กับผู้เสียชีวิต
ซึ่งในช่วงเช้าที่สวนอนุสรณ์สถานสึนามิบ้านน้ำเค็ม มีพิธีวางพวงมาลารำลึก คุณพุ่ม เจนเซ่น ที่จากไปในเหตุการณ์สึนามิที่จังหวัดพังงาด้วย โดยมีนายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และนายจำเริญ ทิพญพงศ์ธาดา ผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา ร่วมกับข้าราชการประชาชน ที่มาร่วมทำบุญ 3 ศาลนาให้กับผู้เสียชีวิต ทั้งอิสลาม พุทธ์ และคริสต์ ท่ามกลางบรรยากาศที่ยังเศร้าเสียใจของครอบครัวที่คิดถึงเหตุการณ์นี้
เอกอัครราชทูตเยอรมัน ร่วมกับครอบครัวผู้เสียชีวิตได้นำดอกไม้มาวางที่ชายหาดบ้านน้ำเค็มด้วย ซึ่งเหตุที่ท่านทูตให้ความสำคัญมาด้วยตนเองในปีนี้เพราะครบ 15 ปี และชาวเยอรมัน เสียชีวิจากเหตุการณ์สึนามิกว่า 500 คน ปีนี้จึงตั้งใจมาร่วมรำลึกถึงผู้เสียชีวิตและขอบคุณคนไทยที่ร่วมช่วยเหลือชาวเยอรมนี
ที่สวนอนุสรณ์สถานสึนามิบ้านน้ำเค็ม ญาติผู้เสียชีวิตมาวางดอกไม้รำลึกถึงครอบครัวทุกปี ซึ่งต่างนำดอกไม้มาประดับที่ภาพถ่ายผู้เสียชีวิต เช่น นายบรรลือศักดิ์ วัฒน์รณชัย ชาวบ้านน้ำเค็ม สูญเสียภรรยา ซึ่งเขาเปิดร้านอาหารที่หาดบ้านน้ำเค็ม และทำโรงกลึง สึนามิทำให้เขาสูญเสียทุกสิ่ง แม้จะไม่กลับมาเหมือนเดิม แต่ทุกวันนี้ก็ยังใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท
ขณะที่ นางโมนิกา ชาวเยอรมนี สูญเสีย โซเฟีย ลูกสาวไปเมื่อ 15 ปีก่อน ในช่วง 5 ปีแรกเธอมางานรำลึกทุกปี แต่เมื่อมีลูกสาวคนใหม่ ในช่วง 10 ปีขึ้นมาเธอจึงไม่กล้ามาที่นี่เพราะยังหวาดกลัวว่าจะสูญเสียลูกสาวไปอีก แต่เมื่อลูกโตขึ้นเข้าใจถึงเหตุการณ์สึนามิ ปีนี้เธอจึงตั้งใจมารำลึกถึงลูกสาวที่บ้านน้ำเค็ม
นอกเหนือจากการำลึกถึงผู้สูญเสียแล้วการให้กำลังใจผู้รอดชีวิตและการสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนเพื่อรับมือภัยพิบัตเป็นสิ่งที่ นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย จะเร่งพัฒนาให้ครอบคลุมทุกพื้นที่เสี่ยงภัย รวมทั้งการเตือนภัยที่ต้องตรวจสอบให้พร้อมรับมือภัยพิบัติ
ผ่านมา 15 ปีมีการเรียนรู้ในการจัดการภัยพิบัติทั้งส่วนราชการ ชุมชน และสื่อมวลชน โดยเฉพาะระบบการเตือนภัยที่เป็นเครื่องมือสำคัญในการเตือนภัย เช่นเดียวกับข้อมูลที่ต้องทันเหตุการณ์
ที่บ้านน้ำเค็มนั้นชุมชนมีความเข็มแข็งเป็นหมู่บ้านจัดการภัยพิบัติต้นแบบ ที่ตื่นตัวกับการเตือนภัย ซึ่งในหมู่บ้านมีหอเตือนภัย ที่มีการตรวจสอบว่ายังใช้การได้ เนื่องจากใช้แบตเตอรี่จากไฟโซล่าเซลล์ และยังมีป้ายเส้นทางหลบภัย ติดอยู่ตามเช่นทางอพยพ ซึ่งสภาพภูมิประเทศที่เปลี่ยนไปอาจทำให้บ้างป้ายมองไม่ชัดมาก จึงอาจต้องปรับเปลี่ยนให้ทันสมัยขึ้น เพราะนอกจากประชาชนในพื้นที่แล้ว ยังมีนักท่องเที่ยวที่ต้องเตรียมพร้อมในการเตือนภัย แม้ว่าศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ
โดยพลเรือตรีถาวร เจริญดี ผู้เชี่ยวชาญด้านการเตือนภัย ยืนยันว่า หอเตือนภัย 18 หอ ทุ่นกลางทะเล 2 ตัว ยังใช้การได้ และสามารถเตือนภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ประเด็นการเตือนภัยและการสื่อสารภัยพิบัติ ก็เป็นประเด็นพูดคุยในเวที ปฏิญญา 15 ปีอันดามันที่บ้านน้ำเค็ม ในวันนี้ด้วย โดยมีตัวแทนจากภาคประชาชน สื่อมวลชน และตัวแทนภาครัฐ ร่วมแลกเปลี่ยน โดยนายไมตรี จงไกรจักร จากมูลนิธิ ชุมชนไท เห็นว่า แม้ว่า15 ปีหลังสึนามิ ชุมชุนจะเข้มแข็งขึ้นมาก แต่ชุมชนยังต้องเรียนรู้ และตื่นตัวอยู่ตลอด การสื่อสาร ประสานงานให้เข้าถึงชุมชนจึงเป็นเรื่องสำคัญ โดยข้อมูลและระบบของภาครัฐต้องเชื่อถือได้และมีประสิทธิภาพ ซึ่งอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา ยืนยันว่า ขนะนี้ ระบบการเตือนภัยดีขึ้นมากและกำลังทำระบบให้ดีขึ้นเรื่อยๆ
โดย นักวิชาการด้านภัยพิบัติ มองว่า แม้หลายอย่างจะดีขึ้น แต่ก็ยังมีสิ่งที่ต้องปรับปรุง โดยเฉพาะการเรียนรู้ ที่ผ่านมา 15 ปี ยังไม่มีหลักสูตรอยู่ในระบบการศึกษา
ขณะที่ตัวแทน สื่อมวลชน มองว่า สถานการณ์ สื่อมวลชนปัจจุบันนี้ แตกต่างจากเมื่อ15 ปีที่แล้ว อย่างมาก และมีเหตุการณ์ ภัยพิบัติ หลายอย่างเกิดขึ้นหลายครั้งหลังเหตุการณ์สึนามิ จึงทำให้สื่อมวลชน ได้เรียนรู้ และถอดบทเรียน เพื่อทำงานในสภาวะวิกฤติได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งนอกจากจะรายงานเหตุการณ์ และเป็นสื่อกลางระดมการช่วยเหลือในช่วงภัยพิบัติแล้ว สื่อมวลชนก็พร้อมที่จะนำเสนอ ข้อมูลข่าวสาร ความรู้ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมให้ประชนชน อีกทางหนึ่งด้วย
ทั้งนี้ จากจำนวนผู้เสียชีวิตและสูญหายกว่า 8 พันคนในประเทศไทย จาก 23 ประเทศ ยังคงมีศพนิรนาม อีก 394 ศพถูกฝังอยุ่ที่สุสานผู้ประสบภัยสึนามิ จาก 419 ศพ มีญาติมารับไปเพียง 18 ศพ อดีตผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์คาดหวังว่าหากมีการนำข้อมูลเข้าสู่ระบบติดตามบุคคลสูญหายหวังอาจนำไปสู่การพบศพนิรนามได้
แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ อดีตผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ที่เคยอยู่ร่วมในเหตุการณ์ เพื่อพิสูจน์อัตลักษณ์ของผู้เสียชีวิต และผู้สูญหาย จากเหตุสึนามิ ได้กลับมาที่สุสานบางมรวน หรือสุสานผู้ประสบภัยสึนามิ ที่ตำบลบางม่วง อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพม่า ในรอบ 15 ปี ยอมรับว่ายังมีความทรงจำที่ได้ช่วยให้ญาติได้พบผู้เสียชีวิต ซึ่งหลังเสร็จภารกิจยังมีศพนิรนาม 412 คน ก่อนจะมีการโอนงานทั้งหมดให้ศูนย์พิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลสูญหาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ซึ่งทราบว่าปัจจุบันมีศพนิรนามเหลืออยู่ 394 ศพ จึงคาดหวังว่าศพนิรนามเหล่านี้จะได้รู้ตัวตน เนื่องจากยังมีบุคคลสูญหายที่ญาติค้นหาอีกมากเช่นกัน หากมีการนำข้อมูลทั้งหมดมาทำฐานข้อมูลให้เป็นเอกภาพ ตามที่มีระเบียบสำนักนายรัฐมนตรีปี 2558 ว่าด้วยเรื่องการบริหารจัดการคนหาย หรือ ศพนิรนาม จึงคาดหวังว่าแม้เวลาผ่านมา 15 ปีจะมีญาติผู้ประสบภัยสึนามิได้พบญาติเพิ่มขึ้น
สำหรับสุสานผู้ประสบภัยสึนามิ ปัจจุบันดูแลโดย สถานีตำรวจภูธรตะกั่วป่า พบว่ามีศพนิรนาม เหลืออยู่394 ศพ เป็นศพชาวเมียนมาที่ไม่มีเอกสารยืนยันตัวตน แต่ตรวจพิสูจน์อัตลักษณ์แล้ว ส่วนที่เหลือยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าชาติใด เมื่อปีที่แล้วมีญาติคนไทย 2 คนมารับศพไป จากจำนวน 412 ศพเมื่อ 15 ปีก่อน มีญาติรับศพนิรนามไป 18 ศพ
แท็กที่เกี่ยวข้อง