สังคม

บุกจับ 8 ร้านแลกคริปโตเถื่อน ลูกค้าหลักจีน-รัสเซีย เงินหมุนเวียน 14,000 ล้าน พัวพันธุรกิจสีเทา

โดย JitrarutP

24 เม.ย. 2568

4.6K views

ตำรวจบุกจับ 8 ร้านแลกคริปโตเถื่อน ลูกค้าหลักเป็นจีน-รัสเซีย ไม่ให้บริการคนไทย เงินหมุนเวียนกว่า 14,000 ล้านบาท เจ้าของผู้ถือหุ้นคนไทยแต่คู่สมรสเป็นต่างชาติ ส่วนใหญ่มาจากธุรกิจผิดกฎหมาย พบพัวพันธุรกิจแก๊งคอลเซ็นเตอร์จีนกว่า 10 คดี

พล.ต.ต.ทัศน์ภูมิ จารุปรัชญ์ ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ หรือ บก.ปอศ. แถลงผลการปฏิบัติ “Crypto Phantom เปิดหน้ากากร้านแลกเหรียญเถื่อน” ต้นตออาชญากรรมอุ้ม ปล้น เรียกค่าไถ่ และฟอกเงิน พบเงินหมุนเวียนกว่า 14,000 ล้านบาท

สำหรับคดีนี้เป็นผลปฏิบัติการของตำรวจ กก.3 บก.ปอศ. โดยได้ขออำนาจศาลออกหมายค้น 8 จุดเป้าหมายในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จ.ชลบุรี และ จ.ภูเก็ต เช่น บ้าน อาคารพาณิชย์ และบริษัทรับแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล สามารถตรวจยึดของกลางได้หลายรายการ เช่น อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ สมุดบัญชีธนาคาร โทรศัพท์มือถือ กล้องวงจรปิด และเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการจดทะเบียนบริษัท การชำระภาษี และข้อมูลเกี่ยวกับสกุลเงิน Cryptocurrency ซึ่งทางตำรวจได้นำของกลางเหล่านี้มาจัดแสดงประกอบการแถลงข่าว



สืบเนื่องจากคำสั่งของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ที่กำหนดนโยบายให้ตรวจสอบการใช้สกุลเงิน Cryptocurrency ในทางที่ผิดกฎหมายและเป็นช่องทางนำมาสู่การฟอกเงินหรือเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ รวมทั้งการก่ออาชญากรรมทางไซเบอร์ อันส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ

ทางตำรวจ กก.3 บก.ปอศ. จึงได้ทำการสืบสวนพบว่า มีร้านรับแลกเปลี่ยนเงินตราซึ่งแอบแฝงการให้บริการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล โดยไม่ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์หรือ ก.ล.ต. ถือเป็นการกระทำความผิดทางกฎหมายตามพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล



โดยเป้าหมายลูกค้ารับแลกสินทรัพย์ดิจิตอล คือบรรดาชาวต่างชาติทั้งชาวรัสเซียหรือชาวจีนรวมทั้งชาวต่างชาติอื่น ๆ ที่นำเงินมาแลกเปลี่ยนผ่านร้านดังกล่าว ส่วนที่มาของเงินเหล่านี้นั้น ส่วนใหญ่จะมาจากการกระทำธุรกิจผิดกฎหมาย เช่น การค้ายาเสพติด แก๊งคอลเซ็นเตอร์ การเรียกค่าไถ่ ไปจนถึงเงินจากการทำสงคราม ซึ่งการแลกเปลี่ยนในลักษณะนี้จะสามารถหลีกเลี่ยงการตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินและภาษี

จากการตรวจสอบพบว่าทั้ง 8 ร้านนั้น มีธุรกรรมการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลมากกว่า 1,000 รายการ พกเงินหมุนเวียนสูงกว่า 425,104,595 USDT หรือกว่า 14,000 ล้านบาท มีระบบการแลกโดยใช้กระเป๋าบล็อกเชนแบบไม่ระบุตัวตนในลักษณะของบัญชีม้าเพื่อรับแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลและได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินค่าธรรมเนียม ส่วนเงินที่ได้นั้นส่วนใหญ่จะนำไปทำธุรกรรมได้อย่างอื่นภายในประเทศ รวมทั้งยังพบว่า มีบางส่วนนำเงินไปซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่ จ.ภูเก็ต และ จ.ชลบุรี อีกทั้งยังพบว่า มีธุรกรรมบางส่วนที่พัวพันกับคดีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวจีนกว่า 10 คดี

ทั้งนี้ ร้านเป้าหมายทั้ง 8 ร้าน ล้วนมีเจ้าของและกรรมการผู้ถือหุ้นเป็นคนไทย แต่ต่างก็มีคู่สมรสเป็นชาวต่างชาติ เช่น ชาวจีนหรือชาวรัสเซีย แล้วนำเงินของคู่สมรสมาหมุนเวียน ที่สำคัญ ร้านพวกนี้จะไม่ให้บริการคนไทย แต่จะมุ่งเน้นให้บริการแต่ชาวต่างชาติ ซึ่งจะเป็นที่รู้กันจากป้ายหน้าร้านที่ระบุว่าสามารถ แลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลได้และพนักงานในร้านก็จะเป็นชาวต่างชาติเป็นหลัก

สำหรับปฏิบัติการการตรวจค้นทั้ง 8 ร้าน สามารถตรวจยึดพยานหลักฐานสำคัญตามที่ระบุได้ข้างต้น หนึ่งในพยานหลักฐานที่น่าสนใจคือ วัตถุวงกลมที่ทำเป็นรูปเหรียญคริปโตเคอเรนซี่จำนวนมาก ซึ่งตรวจยึดได้จากตู้เซฟในร้านแห่งหนึ่งใน จ.ภูเก็ต โดยอยู่ในระหว่างการตรวจสอบว่า วัตถุดังกล่าวเป็นเหรียญทองหรือทำจากวัสดุอะไร

ส่วนบรรดาเจ้าของร้านหรือกรรมการผู้ถือหุ้นทั้ง 8 ร้านนั้น มีจำนวน 12 ราย อยู่ในระหว่างการออกหมายเรียกเพื่อสอบปากคำอย่างละเอียด แต่เบื้องต้นพบว่า มีอย่างน้อย 5 รายที่เข้าข่ายมีความผิดตามพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งจะดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาดำเนินคดีต่อไป

พล.ต.ต.ทัศน์ภูมิ ยังระบุเพิ่มเติมอีกว่า ทั้ง 8 ร้านนั้นล้วนแต่มีใบอนุญาตประกอบธุรกิจแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศจากธนาคารแห่งประเทศไทย แต่ทว่าการประกอบธุรกิจแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลได้นั้น จะต้องได้รับการอนุญาตจาก ก.ล.ต. แต่ทั้ง 8 ร้านไม่พบใบอนุญาตดังกล่าวแต่อย่างใด ซึ่งในประเทศไทยมีผู้ประกอบการที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. ในการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลเพียงแค่ 33 รายเท่านั้น



ดังนั้น จึงขอฝากแจ้งเตือนพี่น้องประชาชนและผู้ประกอบการว่า บรรดาธุรกิจแลกเปลี่ยนสินค้าดิจิทัลที่ไม่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. นั้น ถือเป็นแหล่งฟอกเงินชั้นดีของแก๊งอาชญากรรมข้ามชาติและก่อให้เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจของประเทศ เนื่องจากธุรกิจการแลกเปลี่ยนเงินตราและสินทรัพย์ดิจิตอลนั้น ล้วนแต่เป็นธุรกิจที่นำรายได้เข้าสู่ประเทศ

ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. ในการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล จะมีความผิดตามพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2568 ซึ่งถือเป็นกฎหมายใหม่ที่มากำกับดูแลการดำเนินธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลโดยเฉพาะ มีโทษจำคุกสูงตั้งแต่ 2-5 ปี ปรับตั้งแต่ 200,000 ถึง 500,000 บาท และยังปรับอีกไม่เกินวันละ 10,000 บาท รวมทั้งยังจะมีความผิดตามกฎหมายอื่น ๆ เช่น กฎหมายฟอกเงินและกฎหมายฉ้อโกงอีกด้วย

แท็กที่เกี่ยวข้อง  ร้านแลกคริปโตเถื่อน

คุณอาจสนใจ