สังคม

ไฟไหม้โกดังสารเคมีภาชี อพยพคนหนีควันโขมงกลิ่นเหม็น ชี้เหตุย้ายสารเคมีช้า งบไม่พอ-รอจ้างผู้เชี่ยวชาญ

โดย nattachat_c

2 พ.ค. 2567

48 views

วานนี้ (1 พ.ค. 67) เวลา 18.15 น. เกิดเหตุเพลิงไหม้ โกดังเก็บกากสารเคมี 4,000 ตัน จำนวน 5 โกดัง ในพื้นที่หมู่ 2 ต.ภาชี อ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา มีเสียงระเบิดเป็นระยะ เจ้าหน้าที่เร่งควบคุมเพลิงที่ลุกลามเป็นวงกว้าง เกิดควันโขมงสีดำส่งกลิ่นเหม็นลอยฟุ้งไปทั่วบริเวณไกลอย่างน้อย 5 - 10 กิโลเมตร ไปถึงเขต อ.ท่าเรือ ทิศทางลมไปทางทิศใต้ และมีโอกาสเปลี่ยนทิศ  


ซึ่งของกลางในโกดังหลังที่ 3-4-5 เก็บหนาแน่นมากกว่าโกดังหลังที่ 1-2 และโครงหลังคาเก่ามาก เจ้าหน้าที่ดับเพลิงจึงต้องใช้ความระมัดระวังในการปฏิบัติงาน


สำหรับโกดังแห่งนี้ เคยถูกวางเพลิงเมื่อวันที่ 29 ก.พ.2567 และไฟเคยปะทุเองเมื่อวันที่ 19 เม.ย. 2567


เทศบาลตำบลภาชี ประกาศเสียงตามสายแจ้งให้ประชาชน หมู่ 3 หมู่ 4 และที่อาศัยอยู่บริเวณตั้งแต่โรงพยาบาลภาชี ไปจนถึงตลาดภาชี และบริเวณใกล้เคียงสวมหน้ากากอนามัย และออกมาอยู่ในที่โล่ง เพื่อป้องกันอันตรายจากกลุ่มควันที่ฟุ้งกระจาย พร้อมอพยพประชาชนที่อยู่ละแวกใกล้เคียง ออกจากพื้นที่โดยด่วน โดยให้ไปที่วัดโคกม่วง


เวลา 20.14 น. ได้รับรายงานเบื้องต้น ยังไม่มีผู้บาดเจ็บ เเละเสียชีวิต แต่มีกลุ่มควันหนาแน่นลอยไปทางโรงพยาบาลภาชี ซึ่งอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 600 เมตร มีผู้ป่วยในโรงพยาบาล 35 ราย ได้จำหน่ายกลับบ้าน 4 ราย ที่เหลืออีก 31 ราย ดำเนินการอพยพผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลใกล้เคียง ได้แก่ โรงพยาบาลท่าเรือ 8 ราย / โรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราชฯ 15 ราย / โรงพยาบาลอุทัย 4 ราย และ โรงพยาบาลวังน้อย 4 ราย


นายนิวัฒน์ รุ่งสาคร ผู้ว่าราชการ จ.พระนครศรีอยุธยา ลงพื้นที่ร่วมกับ ปภ .จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เทศบาลภาชี อำนวยการควบคุมเพลิงไหม้ พร้อมสั่งการขอสนับสนุนรถดับเพลิงจากพื้นที่ใกล้เคียง จังหวัดใกล้เคียงเพื่อเข้ามาเร่งควบคุมสถานการณ์ให้ได้โดยเร็วที่สุด ส่วนสาเหตุต้องรอเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง


ผู้ว่าฯ ระบุว่า การดับเป็นไปอย่างยากลำบากเนื่องจากโกดังมีขนาดใหญ่ สารเคมีทั้งหมดอยู่ในโกดังมีหลังคาปกคลุม รถดับเพลิงทำได้เพียง ฉีดน้ำบล๊อกจับกลุ่มควันพิษไม่ให้ลอยไปย่านชุมชนและโรงพยาบาลภาชี แต่ก็ยังพบว่ากลุ่มควันได้ลอยกระจายฟุ้งไปไกลถึง อ.ท่าเรือ ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ระดมฉีดน้ำนานกว่า 3 ชั่วโมง ทำให้ไฟไม่ลุกลามเพิ่มมากขึ้น พบว่ากลุ่มควันเริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาว

----------------

ด้าน เพจ สมาคมตอบโต้ภัยพิบัติ ประเทศไทย ได้โพสต์ภาพและข้อความ ในเวลาประมาณ 02.00 น. ว่า


ไฟไม่ดับกลับไม่ได้ ผู้ว่าบัญชาการเอง


#เหตุเพลิงไหม้โกดังเก็บสารเคมี ซึ่งอยู่ระหว่างรอทำลาย ม.2 ต.ภาชี  จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เก็บสารเคมี 4,000 ตัน 5 โกดัง


#โดรนจับความร้อน #ตาบนฟ้า

#ไฟไหม้โรงงาน #สารเคมี #ภาชี #อยุธยา

#สมาคมตอบโต้ภัยพิบัติประเทศไทย #DRAT


ต่อมาโพสต์ว่า 


เวลา 05.00 น. 02/05/67 ยังคงอยู่ที่เกิดเหตุ ว4 ร่วมท่านผู้ว่าราชการจังหวัดอยุธยา ปรับแผนใหม่ #หลังเพลิงปะทุ ส่งรถเจาะกำแพงเจอน้ำที่พื้นในโกดังเป็นกรดไม่ทราบชนิด ทีมผจญเพลิงเข้าไม่ได้ กรดกัดกร่อนรุนแรง เปลี่ยนเป็นเข้าทางหลังคาแทน พักทีมรอรถหอสูงกำลังเดินทางสนับสนุน อีกครั้ง

----------------

ทีมข่าวลงพื้นที่ พบว่า เพลิงได้ไหม้โกดังหลังที่ 3-4-5 โกดังที่อายัดกากสารเคมีของกลางจำพวกกรดเข้มข้นไว้จำนวนมาก โดยเก็บของกลางในถังเบาท์ ขนาด 1,000 ลิตร เป็นส่วนใหญ่ ชนิดของสารเคมีส่วนมาก คือ กรดซัลฟิวริก /น้ำมันเครื่องเก่า /กากสี และปลอกสายไฟ เป็นต้น


ขณะที่ เทศบาลตำบลภาชี ประกาศเสียงตามสายแจ้งให้ประชาชน หมู่ 3 หมู่ 4 และที่อาศัยอยู่บริเวณตั้งแต่โรงพยาบาลภาชี ไปจนถึงตลาดภาชี และบริเวณใกล้เคียงสวมหน้ากากอนามัย และออกมาอยู่ในที่โล่ง เพื่อป้องกันอันตรายจากกลุ่มควันที่ฟุ้งกระจาย พร้อมอพยพประชาชนที่อยู่ละแวกใกล้เคียงออกจากพื้นที่โดยด่วนไปที่วัดโคกม่วง


ทีมข่าวได้คุยกับชาวบ้านที่อาศัยอยู่ใกล้โกดังเกิดเหตุ กล่าวว่า ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุไฟไหม้ ชาวบ้านได้รับผลกระทบเกิดผื่นคันตามร่างกาย คาดว่า น่าจะเกิดจากสารเคมีภายในโกดัง เวลาอากาศร้อนก็จะมีกลิ่นออกมา


ชาวบ้านอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน เพราะรู้สึกกังวลเรื่องระบบทางเดินหายใจ ยิ่งช่วงที่ฝนตก มันไหลลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ หลังเกิดเหตุครั้งนี้ คาดว่าชาวบ้านที่อยู่ใกล้โกดัง จะพากันอพยพกันหมด


เวลา 20.00 น.การใช้น้ำฉีดยังไม่เป็นผลเนื่องจากติดหลังคา ไม่สามารถฉีดไปถึงจุดไฟไหม้ได้ อีกทั้งเป็นสารเคมีต้องใช้โฟมในการดับไฟ จึงมีการปรับแผนให้ฉีดน้ำเป็นฝอย เพื่อซับควันพิษ ให้เหลือน้อยที่สุด


แต่หลายฝ่ายก็ยังเป็นห่วงว่า น้ำจากการดับเพลิงอาจไหลย้อนกลับลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติคือ คลองชลประทานข้างเคียง และแปลงนาของชาวบ้าน


นายปัญญาวุธ มีสมผล หน่วยกู้ภัยอยุธยา เปิดเผยว่า มีเจ้าหน้าที่ และทรัพยากรเพียงพอ ซึ่งได้วางแผนร่วมกันที่จะเข้าไปควบคุมเพลิงภายในโกดังที่เพลิงลุกไหม้อยู่ โดยจะใช้โฟมเข้าไปสกัด ไม่ให้เพลิงลุกลามเพื่อให้ไฟดับลง


ปัญหาคือ นอกจากไฟแล้ว ยังมีกลุ่มควันที่ไปรบกวนประชาชนพื้นที่โดยรอบ ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ได้นำรถดับเพลิงหลาย 10 คัน เข้ามาทำการฉีดน้ำ ทำเป็นม่านน้ำเพื่อกดควันไม่ให้ลอยฟุ้ง


ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ดับเพลิงอีกชุดได้เข้าไปภายในโกดัง 3 ที่ไม่ถูกเพลิงไม้ เพื่อฉีดน้ำดับเพลิงที่ไหม้ภายในโกดัง 4 ซึ่งในโกดังนี้มีกากสารเคมีจำนวนมาก


อีกชุดเข้าไปฉีดน้ำภายในโกดัง 5 คาดการณ์ว่ากลุ่มควันจะลดน้อยลงไม่เกินเที่ยงคืน (1 พ.ค. 67) ส่วนอุปสรรคของเจ้าหน้าที่คือ เรื่องการหายใจเนื่องจากกลิ่นสารเคมีรุนแรง จึงมีการแบ่งเจ้าหน้าที่ดับเพลิงเป็นชุด ๆ สลับกันเข้าไปดับเพลิงในโกดัง เพื่อให้ทำงานได้ตลอดเวลา


เวลา 20.14 น.ได้รับรายงานเบื้องต้นยังไม่มีผู้บาดเจ็บ เเละเสียชีวิต แต่มีกลุ่มควันหนาแน่นลอยไปทางโรงพยาบาลภาชี ซึ่งอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 600 เมตร มีผู้ป่วยในโรงพยาบาล 35 ราย ได้จำหน่ายกลับบ้าน 4 ราย ที่เหลืออีก 31 ราย ดำเนินการอพยพผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลใกล้เคียง ได้แก่ โรงพยาบาลท่าเรือ 8 ราย / โรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราชฯ 15 ราย / โรงพยาบาลอุทัย 4 ราย และ โรงพยาบาลวังน้อย 4 ราย 


นางบังอร อายุ 43 ปี ญาติของผู้ป่วยรายหนึ่ง กล่าวว่า กลัว และวิตกกังวล เพราะเหตุการณ์ครั้งนี้ รุนแรงกว่ารอบที่แล้ว โดยได้กลิ่นสารเคมีเหม็น และรุนแรงมากจนรู้สึกปวดหัว วันนี้แม่เพิ่งป่วยเข้าโรงพยาบาล อาการไม่ค่อยดี ตนก็เป็นห่วง ทางคุณหมอบอกกับญาติผู้ป่วยว่า เสี่ยงรับสารพิษ จำเป็นต้องอพยพไปอยู่โรงพยาบาลอื่นก่อน ทางนี้อยากให้หน่วยงานที่รับผิดชอบเข้ามาดูแลให้มากกว่านี้ จะได้ไม่ส่งผลกระทบกับประชาชน


โรงพยาบาลภาชีได้ปิดโรงพยาล แต่ได้จัดตั้งโรงพยาบาลสนาม พร้อมทั้งสนับสนุนอุปกรณ์ให้กับจุดอพยพประชาชน วัดโคกม่วง อ.ภาชี และจัดทีมเจ้าหน้าที่จาก รพ.สต. ร่วมดูเเลประชาชน ที่โรงพยาบาลสนามด้วย


โดยหลังสถานการณ์เพลิงไหม้สงบแล้ว สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จะส่งเจ้าหน้าที่กลุ่มงานอนามัยสิ่งเเวดล้อมเเละอาชีวอนามัย ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ เเละเฝ้าระวังผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนโดยรอบพื้นที่ต่อไป


นายนิวัฒน์ รุ่งสาคร ผู้ว่าราชการ จ.พระนครศรีอยุธยา ลงพื้นที่ร่วมกับ ปภ .จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เทศบาลภาชี เพื่ออำนวยการควบคุมเพลิงไหม้ พร้อมสั่งการขอสนับสนุนรถดับเพลิงจากพื้นที่ใกล้เคียง จังหวัดใกล้เคียงเพื่อเข้ามาเร่งควบคุมสถานการณ์ให้ได้โดยเร็วที่สุด ส่วนสาเหตุต้องรอเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง


ผู้ว่าฯ ระบุว่า การดับเป็นไปอย่างยากลำบาก เนื่องจากโกดังมีขนาดใหญ่ สารเคมีทั้งหมดอยู่ในโกดังมีหลังคาปกคลุม รถดับเพลิงทำได้เพียง ฉีดน้ำบล็อกจับกลุ่มควันพิษ ไม่ให้ลอยไปย่านชุมชน และโรงพยาบาลภาชี แต่ก็ยังพบว่า กลุ่มควันได้ลอยกระจายฟุ้งไปไกลถึง อ.ท่าเรือ ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ระดมฉีดน้ำนานกว่า 3 ชั่วโมง ทำให้ไฟไม่ลุกลามเพิ่มมากขึ้น พบว่า กลุ่มควันเริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาว


สาเหตุไฟไหม้ครั้งนี้ ยังไม่ชี้ชัดว่าเกิดการจากการวางเพลิง เผาทำลายหลักฐานหรือไม่อย่างไร แต่ไปพบร่องรอยต้องสงสัย ในส่วนของโกดัง 5 ที่ติดกับถนนเลียบคันคลองชลประทาน มีร่องรอยการทุบทำลาย เป็นช่องขนาดใหญ่เข้าไปด้านในได้ ทางเทศบาลตำบลภาชี ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่เข้ามาใช้ลวดหนาม ปิดล้อมช่องรูขนาดใหญ่ เพื่อไม่ให้คนเข้าไปได้ ปรากฏพบว่า ลวดหนามที่ทางเทศบาลตำบลภาชีนำมาขึงเมื่อ 19 เม.ย. 2567 ปิดช่องเข้าออก มีร่องรอยถูกตัดขาด ยังไม่ทราบว่าเป็นฝีมือของใคร

------------------

วานนี้ (1 พ.ค. 67) นายจุลพงษ์ ทวีศรี อดีตอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ที่แม้จะแจ้งว่าลาออกแล้ว ได้ลงพื้นที่เกิดเหตุไฟไหม้ที่ภาชี ได้กล่าวว่า  


ก่อนหน้านี้โกดังดังกล่าวเคยถูกวางเพลิงไปแล้วครั้งหนึ่งโกดังที่ 1-2-3  แต่ครั้งนี้เพลิงไหม้โกดังที่ 3-4-5 (โกดัง 4-5 ไหม้เยอะสุด) ยังไม่สามารถระบุได้ว่า เกิดจากสาเหตุใด


แต่จากการตรวจสอบ พบว่า จุดที่เพลิงลุกไหม้อยู่ด้านในสุด จากนี้ จะมีการตรวจสอบหาสาเหตุอีกครั้ง ซึ่งหากเกิดปฏิกิริยาลุกไหม้เอง ก็จะมีลักษณะการเผาไหม้อีกแบบหนึ่ง ต้องให้ผู้เชี่ยวชาญมาตรวจสอบอีกรอบ


ทั้งนี้ ตนได้สั่งการให้นำรถโมบายมาตรวจวัดคุณภาพอากาศ 2 จุด คือที่โรงพยาบาลภาชี และ หน้าที่ว่าการอำเภอภาชี


นายจุลพงษ์ ระบุว่า โรงงานเก็บสารเคมีของกลางมีกรดอันตราย และของเสียอุตสาหกรรม รวมทั้งตัวทำละลายโซลเวนต์ คาดว่ามีสารเคมีที่ยังเหลืออีกราว 3,000 ตัน ซึ่งต้องควบคุมไม่ให้ไฟลามเข้าในโกดังที่ยังไม่เกิดไฟไหม้


ขณะที่ กรมควบคุมมลพิษ แนะนำประชาชนอยู่ในจุดอพยพ เพื่อป้องกันการสูดดมควันพิษจากเหตุเพลิงไหม้โกดังสารเคมี เตรียมลงพื้นที่ตรวจวัดคุณภาพอากาศในพื้นที่ชุมชน และเฝ้าระวังสารตกค้างในสิ่งแวดล้อม


สำหรับการเคลื่อนย้ายขนย้ายกากสารเคมีทั้งหมดที่ล้าช้า อยู่ที่ขึ้นตอนข้อกฏหมาย ที่สั่งการให้ผู้ครอบครองคือ เจ้าของโกดัง และผู้เช่าโกดัง เข้ามาดำเนินการขนย้าย หรือเอาไปทำลายตามกระบวนการ แต่เมื่อไม่ดำเนินการ รัฐต้องดำเนินการเอง จึงทำให้ล้าช้า สร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้าน


ไหนจะต้องรอขออนุมัติงบประประมาณ ปี 67 ได้มาแล้ว 6.7 ล้านบาท ก็ไม่เพียงพอ ล่าสุด ได้ขออนุมัติโยกงบจากราชบุรี มากำจัดกากสารเคมีที่อำเภอภาชีก่อน เนื่องจากมีความจำเป็น ได้อนุมัติให้มาแล้วจำนวน 28 ล้านบาท ตอนนี้ อยู่ระหว่างเขียนทีโออาร์ เพื่อว่าจ้างผู้มาดำเนินการ แต่ก็มาเกิดเหตุเสียก่อน

-------------

รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/kEKpPzMKE0Q

คุณอาจสนใจ

Related News