สังคม

'เศรษฐา' ลั่นขอพูดครั้งสุดท้ายศึกสีกากี 'ทนายตั้ม' เปรียบ สตช.ฝีร้ายเม็ดใหญ่ นายกฯต้องเป็นหมอผ่าออก

โดย nattachat_c

28 มี.ค. 2567

42 views

นายกฯ ลั่นขอพูดเป็นครั้งสุดท้ายศึกสีกากี ฉาวหรือไม่ฉาวขึ้นอยู่กับการกระทำของ สตช.


วานนี้ (27 มี.ค. 67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ถึงความขัดแย้งในวงการตำรวจที่ยังไม่ยอมจบสิ้น ซึ่ง ล่าสุด ทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด ก็ยังออกมาแฉพลตำรวจเอกต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเพิ่ม ว่า


ตนไม่ทราบ วันนี้ มีคณะกรรมการตรวจสอบ และสืบหาความจริงเรียบร้อยแล้ว  หน้าที่ของตนกับ พลตำรวจเอกกิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีหน้าที่โฟกัสปัญหาของประชาชน และดูแลประชาชนให้ดีที่สุด และอย่างที่บอก ตนไม่ขอพูดเรื่องนี้อีกแล้ว เพราะเชื่อว่าเรามีกระบวนการยุติธรรมที่โปร่งใสตรวจสอบได้ และไม่มีการแทรกแซงจากทุกฝ่าย


ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า การออกมาแฉในลักษณะนี้ ยิ่งทำให้วงการตำรวจตำรวจฉาวขึ้นอีก นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า “ผมว่า ฉาวหรือไม่ฉาว ขึ้นอยู่กับการทำงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติมากกว่า วันนี้ ผมถึงเน้น และพูดคุยกับรักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และจะมีการคุยกับรักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเกี่ยวกับกองบัญชาการตำรวจกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (สอท.)


ส่วนเรื่องที่จะถูกตำหนิ หรืออะไรก็ตาม เราต้องเอาประชาชนเป็นที่ตั้ง ส่วนเรื่องการกล่าวโทษกัน ก็ว่ากันไปตามกฏหมาย ทุกกระบวนการ ตนเชื่อว่าในขณะนี้เรามาถูกทางแล้ว และทั้งสองท่านที่เป็นคู่กรณี ก็ถูกย้ายมาช่วยราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรีแล้ว ไม่มีการที่จะเข้าไปแทรกแซงในกระบวนการยุติธรรมได้ ก็ต้องว่ากันไปตามข้อเท็จจริง”

-------------

ภายหลัง เมื่อวันที่ (26 มี.ค. 67) นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ตั้งโต๊ะแถลงข่าวเปิดโปงขบวนการเรียกรับส่วย พร้อมเปิดหลักฐานเส้นทางการเงินเชื่อมโยงบิ๊กตำรวจระดับนายพล อักษรย่อ 'ต' ซึ่งมีกระแสข่าวด้วยว่า บิ๊กตำรวจเตรียมฟ้อง


วานนี้ (27 มี.ค.67) เวลา 07.58 น. ทนายษิทราโพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก ซึ่ง เป็นภาพบิ๊กตำรวจ ต. กำลังกราบ และพูดคุยกับพระสงฆ์รูปหนึ่ง พร้อมข้อความระบุว่า


“บัญชีม้าวิ่งส่วยโอนเงินเข้าวัดเที่ยงพิมลสุข 15 ธันวาคม 2565 เหลือจะเชื่อที่พลตำรวจเอกต่อศักดิ์ ไปเข้าพิธีสร้างพระวันที่ 17 ธันวาคม 2565 ผมขออนุโมทนาบุญด้วยนะครับ”  // พร้อมเขียนเพิ่มว่า “เห็นทีรอบนี้ ม้าจะได้ขึ้นสวรรค์”  


ต่อมา เวลา 11.20 น. นายษิทรา ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมถึงเรื่องที่โพสต์ ว่า  หลังจากที่แฉไปก่อนหน้านี้ว่า มีเงินจากบัญชีม้าโยงเรื่องทำบุญ 500,000 บาท และ 200,000 บาท รวมเป็น 700,000 บาท


จากนั้น คืนวันเดียวกันที่แถลง ตนนอนไม่หลับ จึงตรวจสอบเพิ่มเติม ปรากฏว่าพบอีกเส้นเงิน เป็นจำนวนเงินเกือบ 200,000 บาท ซึ่งมีการโอนยอดเงินวันที่ 15 ธ.ค. 66 ถัดมาอีก 2 วัน คือวันที่ 17 ธ.ค.66 ซึ่งมีการจัดงานที่วัดแห่งหนึ่ง ตามที๋โพสต์


ซึ่งเข้าใจว่า บัญชีมาที่วิ่งไปนั้น เกี่ยวข้องกับท่าน ผบ.ตร. อีกเช่นกัน อีกทั้งเกี่ยวข้องกับเครือญาติของท่าน แล้วท่านจะบอกว่า ไม่รู้ไม่เห็นได้อย่างไร เพราะบัญชีม้าเหล่านี้ เป็นบัญชีม้าที่รับเงินจากส่วย และเว็บพนัน อยู่แล้ว


ก่อนจะตั้งคำถามว่า “เหตุผลอะไร ทำไมท่านไม่ชี้แจงว่า เงินจากบัญชีม้า เงินจากส่วยต้องเข้าบัญชีญาติ ท่านต้องพูดให้ชัดเจน เพราะสังคมรอฟังอยู่”


เมื่อถามย้ำว่า มีเส้นทางการเงินจากบัญชีม้าเชื่อมถึง ผบ.ตร. โดยตรงเลยหรือไม่ นายษิทรา กล่าวว่า ไม่มี แต่เป็นคนรอบข้าง เป็นการทำบุญ แล้วการทำบุญถือเป็นของเขาเลยหรือไม่ ซึ่งเราต้องพิจารณากัน เพราะว่าเรื่องนี้ก็มีการดำเนินคดีกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ช่วยราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งตนมองว่าเหมือนกัน ดังนั้น ต้องถูกดำเนินคดีทั้งคู่


นายษิทรา ยืนยันว่า บัญชีม้าดังกล่าวที่มีการโอนยอดเงินทำบุญ มีการโอนให้เครือญาติของ ผบ.ตร. ซึ่งบัญชีม้าคือ บัญชีณัฐพล ได้มีการโอนให้พี่ชาย พี่สาว ภรรยา และตำรวจอีกหลายคน ตามผังที่เคยแฉไป


เมื่อถามอีกว่า เส้นเงินดังกล่าวสามารถนำไปเป็นหลักฐานในชั้นศาลได้เลย ใช่หรือไม่ ทนายษิทรา ยืนยันว่า สามารถแสดงเป็นหลักฐานได้อย่างแน่นอน แต่ก่อนที่จะมีการฟ้องตนนั้น อยากให้มีการตรวจสอบก่อน ซึ่งอยากให้ สตช. ตรวจสอบ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะพึ่งใครได้จริง ๆ เพราะตอนนี้ อยากให้มีการดำเนินคดีกับผบ.ตร. แล้วใครจะกล้า ใครจะมาทำ


ขณะเดียวกัน ในวันนี้ (28 มี.ค.67) จะเดินทางไปยื่นเรื่องกับ พล.ต.ต.จรูญเกรียติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. แต่ก็ไม่รู้ว่า ถึงเวลาจะกล้าทำให้หรือเปล่า อีกอย่างสายของตนก็กลัว การที่จะนำหลักฐาน หรือเอกสารที่เป็นเรื่องส่วนตัวไปให้ พล.ต.ต.จรูญเกรียติ แล้ว พล.ต.ต.จรูญเกรียติ จะเอาข้อมูลไปบอกอีกฝั่งหรือเปล่า แล้วความปลอดภัยจะเป็นอย่างไร


เมื่อถามว่า หลายคนมองว่าทนายตั้ม อยู่ในการครอบครองของบิ๊กโจ๊ก จึงยินดีออกมาต่อสู้ครั้งนี้ ทนายตั้มพูดติดตลกว่า โอ้โห พูดว่าผมอยู่ในการครอบครองของเขา เหมือนกับเป็นแฟนเขาเลย ก่อนจะยืนยันว่า จริง ๆ แล้วเป็นแค่คนรู้จัก คนสนิทกัน ยอมรับว่าสนิทกัน แต่อย่างไรก็ตาม ตนไม่ได้ออกมาบอกว่าให้ดำเนินคดีกับบิ๊กต่อแค่คนเดียว แต่อยากให้สร้างมาตรฐานว่า ใครก็แล้วแต่ที่รับส่วย ทุกคนต้องถูกดำเนินคดีอย่างเท่าเทียม


และขณะนี้ บิ๊กโจ๊ก เข้าสู่กระบวนการแล้ว แต่ทาง ผบ.ตร. ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย อีกอย่างทาง ผบ.ตร. ให้สัมภาษณ์บอกว่า เห็นเส้นเงินนี้มานานแล้ว ซึงตนก็อยากบอกเช่นกันว่า พล.ต.ต.จรูญเกรียติ ต้องเห็นมานานแล้วเช่นกัน แต่ไม่มีการดำเนินการ ดังนั้น ขอตั้งคำถามว่า แบบนี้เรียกว่า 2 มาตรฐานหรือไม่


ทนายษิทรา กล่าวว่า การที่ตนไปยื่นข้อมูลให้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ มองว่าท่านรับเรื่องอยู่แล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะทำต่อหรือไม่ ซึ่งยืนยันว่า ไม่ใช่การด้อยค่า เพราะส่วนตัวเชื่อว่าท่านมีข้อมูล และหลักฐานเหล่านี้อยู่แล้ว แต่ไม่ได้ดำเนินการ ซึ่งครั้งนี้ ตนจะไปชี้บอกเลยว่า “ให้ทำจุดนี้ แล้วจะทำหรือไม่ วัดกันไปเลย”


แต่หากว่าหลังจากนี้ ให้ข้อมูลแล้วไม่มีการดำเนินคดี ก็จะนำเรื่องไปยื่นต่อนายกรัฐมนตรีต่อ แต่หากนายกรัฐมนตรีไม่สนใจ ก็จะนำเรื่องนี้ไปยื่นกับผู้นำฝ่ายค้าน พร้อมปฏิเสธว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง หรือดีลลับพรรคฝ่ายค้าน เพียงแค่ร้องเรียนหาที่พึ่งให้ทุกอย่างโปร่งใสเท่านั้น


ส่วนกรณีที่ พล.ต.อ. ต่อศักดิ์ บอกว่าการแถลงครั้งนี้ของทนายษิทราเป็นการดิสเครดิตไปเรื่อย ๆ ทนายษิทรา กล่าวว่า จริง ๆ แล้วตนไม่ได้มีเรื่องทะเลาะอะไรกับท่าน ไม่จำเป็นต้องไปดิสเครดิตอะไร แต่เรื่องนี้ ถือเป็นโอกาสดีของสังคม เพราะ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ มาบอกว่าไม่รับรู้ เป็นเรื่องของคณะกรรมการในการตรวจสอบ ซึ่งตนมองว่าจริง ๆ แล้ว นายกฯต้องรับรู้ เพราะเรื่องนี้เป็นการดำเนินคดีระดับ ผบ.ตร.


และได้เปรียบว่า “ตอนนี้ สตช. เหมือนเป็นฝีร้ายเม็ดใหญ่ อยากให้นายกรัฐมนตรีมาเป็นแพทย์ใหญ่มาผ่าตัดออก โดยมีประชาชนทั้งประเทศรอดูอยู่ และจะเป็นหมอ เป็นผู้ช่วยพยาบาลมาช่วยนายกฯในการผ่าตัด สตช.ครั้งนี้ และหากครั้งนี้ ท่านทำสำเร็จ คิดว่าจะต้องมีแต่คนสรรเสริญอย่างแน่นอน เพราะทุกรัฐบาลที่ผ่านมา ไม่เคยมีใครปฏิรูป สตช.สำเร็จเลยในเรื่องส่วย นับว่าเป็นโอกาสดีเพราะสังคมตื่นตัวแล้ว” ก่อนจะย้ำว่า “ท่านนายกฯ บอกว่า ท่านไม่รับรู้ ท่านไม่เห็นอะไร ไม่ได้แล้ว เพราะท่านเป็นผู้นำรัฐบาล


ส่วนที่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รรท.ผบ.ตร.) บอกว่า การออกมาแฉเรื่องเส้นเงินครั้งนี้ ใครที่เป็นคนเปิดเผยก็ต้องรับผิดชอบเอง ทนายตั้ม ย้ำว่า ตัวเองมีหลักฐาน พร้อมความรับผิดชอบสิ่งที่พูด ส่วนที่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ปฏิเสธว่าไม่ได้สั่งให้ระดับ ผกก.โทรไปสอบถามข้อมูลกับตัวเองก่อนแถลงข่าว ทนายตั้ม ยืนยันว่า มีจริง แต่ไม่ข้อเปิดเผยว่าตำรวจระดับ ผกก.เป็นใคร เพราะไม่อยากให้แดดร้อน หากพล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ปฏิเสธว่า ไม่ได้ส่งใครมาสอบถามข้อมูล ก็มองว่าต้องมีใครคนใดคนหนึ่งโกหก แต่ยืนยันว่าตัวเองไม่ได้โกหก


ทั้งนี้ ทนายตั้ม ยอมรับว่า ทำใจไว้แล้วว่าจะต้องถูกฟ้องอย่างแน่นอน และไม่รู้ว่าจะมีเรื่องอิทธิพลมืดมาอีกหรือไม่ ล้วนเป็นเรื่องที่เตรียมใจไว้แล้วจึงไม่กังวลอะไร


เมื่อถามว่าหลังจากเปิดหน้าแฉ ถูกคุกคามอะไรหรือไม่ ทนายษิทรา กล่าวว่า ตอนนี้ระวังตัว แต่ยังไม่มีใครมาบอกว่าจะมาทำร้าย แต่ตนระวังตัวเองไว้ก่อนอยู่แล้ว เพราะเราสู้กับคนระดับนี้ก็กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้น


แต่หากในอนาคตเรื่องนี้ถูกโลกลืมไปแล้ว โอกาสเกิดขึ้นก็มี ตนก็ต้องรับในเรื่องที่ตัดสินใจแล้ว วันนี้ ตัดสินใจออกมาแฉเรื่องส่วยของตำรวจ เพราะอยากให้สังคมตื่นตัว และในอนาคตหากถูกลอบทำร้าย หรือตายไป แต่หากสังคมมีการเปลี่ยนแปลงก็ยอม และพร้อมยอมรับ


ยืนยันว่า ตนไม่ใช่คนดี ทุกครั้งที่ออกมาแฉคนอื่น ก็มักจะถูกแฉกลับอยู่แล้ว ส่วนเรื่องถูกฟ้อง หากโดนฟ้องคนโดนเรื่องหมื่นประมาทด้วยการโฆษณา ส่วน พ.ร.บ.ป้องกันข้อมูลข่าวสาร ตนก็พยายามป้องกันด้วยการปิดเลขบัญชี ที่อยู่ อยู่แล้ว ส่วนข้อมูลที่เกี่ยวกับอาญา ยืนยันว่าน้อมรับทุกข้อหา และพร้อมสู้


ส่วนกรณีที่คนบอกว่า รับเงินเพื่อมาแฉเรื่องนี้ ทนายษิทรา บอกว่า เรื่องนี้ต่อให้ได้เงินมา 10 ล้าน 20 ก็ไม่คุ้ม เพราะหากถูกดำเนินคดีเป็น 10 คดี มีทั้งเรื่องค่าใช้จ่าย และหากพลาดพลั้งไปติดคุกอีกหากเป็นข้อมูลเท็จ ฉะนั้น ขอยืนยันว่า ที่ออกมาเพราะมั่นใจแล้วว่าข้อมูลเหล่านี้เป็นของแท้ และโยงไปถึงบิ๊กตำรวจอย่างแน่นอน


ทนายตั้ม ยังกล่าวว่า ขอบคุณสังคมที่ออกมาชื่นชมในความกล้าหาญของตัวเอง แต่จริง ๆ แล้ว อยากให้ทุกคนรู้สึกขอบคุณกับสายมากกว่าที่กล้าออกมาสู้ด้วยกันในครั้งนี้


ทนายษิทรา ยังบอกอีกว่า ยังไม่หยุดเพียงเท่านี้ เพราะยังมีข้อมูลที่จะแฉอีกเยอะ แต่ยังไม่เปิดเผยในรายละเอียดบอกเพียงว่าให้รอดู


เมื่อถามว่าเป็นการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับตัวละครเดิมที่เคยแฉหรือไม่ ทนายตั้มยิ้ม ก่อนพยักหน้ารับ


ส่วนที่กรณีที่พบเส้นเงินพาดพิงถึง สมาคมนักข่าว นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ยืนยันว่า มีเส้นเงินไปถึงบุคคลตำแหน่งอุปนายกในห้วงเวลานั้น แต่ในปัจจุบัน ทางสมาคมได้มีการเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการบริหารชุดใหม่ ทำให้อุปนายกคนที่มีเส้นเงินโยงไปถึง ไม่ได้ทำงานในตำแหน่งเดิมแล้ว ยืนยันว่า ทางสมาคมไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง เป็นเพียงความผิดส่วนบุคคลเท่านั้น

-------------

วานนี้ (27 มี.ค. 67) พลตำรวจเอกต่อศักดิ์ สุวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ขณะนี้ ถูกคำสั่งให้ไปช่วยราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี พูดถึงประเด็นที่ทนายตั้มออกมาแฉว่ามีนายพลเรียกรับส่วย โดยเปิดชื่อถึง 'นายพล ต.' โดยพลตำรวจเอกต่อศักดิ์ บอกว่า


“ตอนนี้ตนยังอยู่ต่างจังหวัดอยู่เลย ต้องรอทนายตอนเย็น ๆ แต่ไม่รู้ทนายจะแถลงหรือไม่ ตนให้ทนายดำเนินการทั้งหมด ตนไม่ได้ยุ่งเลย“


ส่วนเรื่องยืนยันว่า จะฟ้องทนายตั้มหรือไม่นั้น พลตำรวจเอกต่อศักดิ์ ระบุว่า “ก็ยังไม่รู้เลย ครอบครัวพี่ตอนนี้อยู่ต่างจังหวัด กับมีงาน ตนก็ไม่ค่อยสบาย“


เมื่อถามว่าเครียดหรือไม่กับการแถลงของทนายตั้ม พลตำรวจเอกต่อศักดิ์ ย้ำว่า “ไม่เครียดเลย อยากให้ดูว่ามีเส้นทางการเงินถึงตนจริงไหม มันก็เป็นการดิสเครดิตไปเรื่อยแหละ ไม่เป็นไร และรู้สึกเฉย ๆ ไม่ได้ให้น้ำหนักอะไรอยู่แล้ว


พร้อมยืนยันว่า ไม่กังวลกับหลักฐานที่ทนายตั้มเอาออกมาเปิดเผย ขอให้รอทนาย เพราะตนไม่ได้รู้รายละเอียด ไม่ได้ฟังเขาแถลงด้วยซ้ำไป ตนรู้เรื่องนี้มาตั้งนานแล้ว หลักฐานพวกนี้ตนก็เห็นมานานแล้ว เพียงแต่ตนไม่ได้ใส่ใจ ไม่ได้สนใจ” ก่อนจะวางสายไป

-------------


วานนี้ (27 มี.ค. 67) พลตำรวจโทวรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เปิดเผยถึงกรณีที่ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ออกมาแถลงเปิดโปงขบวนการรับส่วยและเสีนทางการเงินที่พาดพิงถึง ด.ต.อภิชาต สุวรรณเพ็ชร กก.1 สอท.2 (ดาบยาว) และ พ.ต.ท. สุรกุล ธัญสิริดำรง รอง ผกก.กกวิเคระห์ข่าว บก.สอท.2 (รองฟาง) ว่า ในแนวทางการปฏิบัติของ สอท. คือ ต้องมีคำสั่งมาประจำ ศปก. สอท. และมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยหลังจากถูกพาดพิง ก็ได้ดำเนินการทั้ง 2 ส่วนทันที ซึ่งตำรวจทั้ง 2 นายเข้ามาประจำที่ ศปก.แล้ว ทั้งนี้ส่วนตัวไม่ได้สอบถามนายตำรวจทั้ง 2 นายที่ถูกพาดพิง แต่ให้คณะกรรมการดำเนินการตรวจสอบ และเมื่อวันที่ 26 มี.ค. ที่ผ่านมา มีการพาดพิงถึงหลายหน่วยงาน หลายพื้นที่ ซึ่งพบว่าเป็นข้อมูลปีเก่าๆ ตั้งแต่ปี62 เป็นต้นมา ซึ่งทางสอท.ได้สั่งดำเนินการตรวจสอบทั้งหมดแล้ว


โดยข้อมูลการแถลงข่าวของทนายตั้มนั้น ก็พบว่า เป็นข้อมูลที่มีลักษณะใกล้เคียงกับข้อมูลที่เคยมีผู้กำกับการสืบสวนจังหวัดสงขลา ไปแจ้งความร้องทุกข์ไว้ที่ สน.เตาปูน ซึ่งขณะนี้ สน.เตาปูน อยู่ระหว่างการสืบสวนดำเนินคดี


ส่วนที่ ทนายตั้มจะไปพบ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง นั่นก็เป็นส่วนที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ดำเนินคดีด้วยส่วนหนึ่ง จึงมองว่า สังคมไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องการตรวจสอบ เพราะมีหลายหน่วยงานร่วมตรวจสอบทั้ง สน.เตาปูน กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีการตรวจสอบในภาพรวมด้วย


ส่วนเส้นทางการเงินที่มีลักษณะพาดพิงถึงการกระทำผิดหลายประเภท โดยเฉพาะเว็บไซต์ ซึ่งเป็นเรื่องของเส้นเงินที่ ตำรวจ สน.เตาปูน และกองบัญชาการตำรวจสอบสวนการ ต้องทำการตรวจสอบ


ส่วนที่ถูกมองว่า ลักษณะการเก็บเงินหน้าเสื่อ แล้วส่งไปให้บิ๊กตำรวจนั้น พลตำรวจโทวรวัฒน์ บอกว่า ก็คงต้องดูหลักฐานที่นำมาชี้แจงกับหลักฐานทางการเงิน ว่า มีลักษณะการเชื่อมโยงกันแบบไหน บางเส้นก็มีครั้งเดียว บางเส้นเองก็มีหลายครั้ง ซึ่งเกี่ยวกับการถูกดำเนินคดีทั้งสิ้น ซึ่งส่วนของ สอท.เป็นการตรวจสอบทางวินัย เพราะคดีอาญาเป็นของ สน.เตาปูน และกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง


ส่วนที่ ทนายตั้มกล่าวอ้างว่า มีการนำเงินไปให้บิ๊กตำรวจคนหนึ่งนั้น พลตำรวจโทวรวัฒน์ ระบุว่า ก็เป็นเรื่องของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง และได้สั่งให้ตรวจสอบบุคคลที่ถูกพาดพิงทั้งหมด รวมถึงในภาพรวมของ สอท.ทั้งหมด โดยมีกรอบระยะเวลาในการตรวจสอบให้ดำเนินการให้เร็วที่สุด


ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการหน่วยไหนก็ล้วนต้องถูกตรวจสอบทั้งสิ้น และเชื่อว่าการตรยจสอบจะเข้มข้นเรื่อยๆ ในเมื่อเป็นข้าราชการก็ต้องพร้อมรับการตรวจสอบ


ส่วนกรณีที่ เพจทนายตั้มถูกปิดกั้นก่อนจะมีการแถลงข่าวแล้วถูกตั้งข้อสังเกตว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับ สอท.หรือไม่นั้น พลตำรวจโทวรวัฒน์ ระบุว่า ไม่เกี่ยวกับ สอท.เพราะเพจปิดก็เปิดได้ หากมีการร้องขอไม่กี่ชั่วโมง และไม่รู้ว่าจะทำไปทำไม เพราะเป็นข้อมูลเดิม ๆ


นักข่าวสอบถามเพิ่มเติม ถึงกรณีที่มีการพาดพิงจากการแถลงข่าวของทนายตั้มว่า  มีการใช้ห้องหนึ่งใน สอท. เพื่อส่งยอด และรับยอดเงินส่วยทุกวันที่ 25 ของเดือน นั้นมีข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร มีห้องอยู่จริงหรือไม่ พลตำรวจโทวรวัฒน์ ระบุว่า “ไม่ใช่ เพราะลักษณะห้องสามารถนั่งได้ เพราะห้องนั้นเป็นห้องของผู้บังคับบัญชา เป็นห้องรองผู้บัญชาการจะเข้าไปทำอย่างนั้นได้อย่างไร” และตนเองไม่ได้เข้าไปตรวจสอบ เพราะเป็นสำนักงานมีหน้าห้องนั่งอยู่ปกติ พร้อมย้ำว่า ตนเองพร้อมให้ตรวจสอบ ใครจะตรวจสอบก็มาตรวจสอบ เพราะเป็นข้าราชการก็พร้อมถูกตรวจสอบ


ส่วนกรณีที่ถูกมองว่า สอท.เป็นแหล่งเงินที่มีการหารายได้กันมหาศาลนั้น พลตำรวจโทวรวัฒน์ ตอบว่า ไม่ใช่ เพราะถ้าตำรวจหน่วยไหนที่เกี่ยวข้องกับภารกิจนั้น ๆ ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น ๆ และมักจะถูกพาดพิง และถูกตรวจสอบ เช่น ตั้งแต่ตนเองรับตำแหน่งมา ก็มีการจับกุมเว็บพนัน และยึดทรัพย์ไปหลายพันล้าน


ทั้งนี้ มองยังไง ที่จับบัญชีม้า แต่กลับถูกพาดพิงว่าใช้บัญชีมาเอง พลตำรวจโทวรวัฒน์ ตอบว่า คงต้องไปให้หน่วยงานภายนอกเข้ามาตรวจสอบ เพราะก็สามารถดำเนินคดีกับเราได้ และตนเองได้มีการกำชับในการทำงานให้หนักขึ้นด้วย


เมื่อถามว่า สอท.รู้สึกว่าเป็นหนึ่งในหมากที่อยู่เกมของบิ๊กตำรวจหรือไม่ พลตำรวจโทวรวัฒน์ มองว่า ในฐานะหัวหน้าหน่วยงานก็ต้องรับผิดชอบว่ามีเสียงสะท้อนแบบนี้ จะทำอย่างไรให้หน่วยงานอื่นมาตรวจสอบเราได้

--------------

วานนี้ (27 มี.ค.) มีรายงานว่า เมื่อวันที่ 26 มี.ค.ที่ผ่านมา ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง อ่านคำพิพากษาในชั้นตรวจฟ้องคดีที่ อท.244/2566 ที่ พ.ต.อ.เขมรินทร์ พิสมัย เป็นโจทก์ฟ้องพล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร.กับชุดพนักงานสอบสวน รวม 244 คน ซึ่งมีพล.ต.อ. ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ อดีตผบ.ตร. และ พล.ต.อ. ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. รวมอยู่ด้วย


เป็นจำเลยฐาน ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ, รับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้น มุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นความเท็จ, พยานหลักฐานอันเป็นเท็จ เพื่อให้พนักงานสอบสวนเชื่อว่าได้มีความผิดอาญาร้ายแรงกว่าที่เป็นความจริง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91,157, 162 (4), 179 , 200พรป. ป.ป.ช. พ.ศ. 2561มาตรา4, 172 ประเด็นวินิจฉัยเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของจำเลยทั้งหมด


โดยประเด็นที่ทาง พ.ต.อ.เขมรินทร์ พิสมัย เป็นโจทก์ยื่นฟ้องศาลนั้น เพื่อให้วินิจฉัยเกี่ยวกับการกระทำความผิด ในกรณีที่เข้าจับกุม รวมไปถึงการที่ยื่นคำร้องต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ขอออกหมายจับโดยปกปิดไม่ระบุอาชีพ ยศ และตำแหน่ง รวมไปจำเลยบ้างคนลงลายมือชื่อในคำร้องขอออกหมายจับโดยไม่มีอำนาจ


รวมไปถึงประเด็น การยื่นคำร้องต่อศาลอาญา ขอออกหมายค้นบ้านพักของโจทก์กับพวก และพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล เป็นเหตุให้พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ไม่ได้รับเลือกให้เป็น ผบ.ตร. ประเด็นการนำตัวโจทก์ไปฝากขังต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ในเวลาใกล้ปิดทำการ และคัดค้านการปล่อยตัวชั่วคราว


อีกทั้งประเด็น โจทก์กับพวกยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมกับจำเลยที่ 244 (พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร.) เพื่อเปลี่ยนคณะพนักงานสอบสวน แต่กลับเพิกเฉย ต่อมาคณะพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมแก่โจทก์กับพวก โดยไม่มีพยานหลักฐานใหม่ จึงเป็นการแจ้งข้อกล่าวหาที่มิชอบ และปรักปรำโจทก์กับพวก


โดยในชั้นตรวจฟ้อง ศาลเห็นว่า ที่โจทก์อ้างว่าไม่ปรากฏหลักฐานการกระทำความผิด การแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมไม่ชอบ มีการปรุงแต่งเรื่องราวนำมากล่าวหาโจทก์กับพวก ล้วนแต่เป็นข้อต่อสู้ที่โจทก์ ต้องนำไปพิสูจน์ว่าโจทก์กับพวกมิได้กระทำความผิด มิใช่ข้อที่จะนำมาฟ้องจำเลยกับพวกในคดีนี้


สำหรับการยื่นคำร้องต่อศาลขอออกหมายจับและหมายค้นต่างศาลกันเป็นเพราะศาลที่มีอำนาจออกหมายจับ คือศาลที่มีเขตอำนาจชำระคดีหรือศาลที่มีเขตอำนาจเหนือท้องที่ที่จะทำการจับ ส่วนศาลที่มีอำนาจออกหมายค้น คือศาลที่มีเขตอำนาจเหนือท้องที่ที่จะทำการค้น


วนการยื่นขอออกหมายจับโดยไม่ระบุอาชีพ ยศ และตำแหน่ง ในหมายจับนั้น เห็นว่า ยศของข้าราชการตำรวจ เป็นเพียงการแสดงถึงจำนวนปีที่รับราชการเท่านั้น อีกทั้งฐานความผิดที่ระบุในหมายจับ ก็เป็นฐานความผิดที่ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาคดีของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ


กับทั้งการที่ศาลอาญากรุงเทพใต้จะพิจารณาออกหมายจับตามคำร้องของผู้ร้องหรือไม่นั้น จะต้องพิจารณาจากพยานหลักฐานของผู้ร้องที่เสนอมาตามสมควร ซึ่งเป็นสาระสำคัญยิ่งกว่าการระบุยศ ตำแหน่ง หรืออาชีพ ที่มิได้เกี่ยวข้องกับฐานความผิดดังได้วินิจฉัยไว้ข้างต้น


สำหรับการนำตัวโจทก์กับพวกไปฝากขังต่อศาลในเวลาใกล้ปิดทำการ การคัดค้านการปล่อยตัวชั่วคราว และเหตุอื่นๆ ที่เกี่ยวกับคำร้องขอฝากขังนั้น เมื่อปรากฏว่าโจทก์ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวแล้ว กรณีจึงไม่ใช่เหตุถึงขนาดที่จะฟังว่าจำเลยกับพวกปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้โจทก์ได้รับความเสียหาย


ส่วนการยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่อจำเลยที่ 244 (พล.ต.อ.ต่อศักดิ์) เพื่อเปลี่ยนคณะพนักงานสอบสวนนั้น ทางโจทก์ไม่มีข้อเท็จจริงให้เห็นว่า ได้ดำเนินการหรือไม่ดำเนินการอย่างใดในหน้าที่ อันจะแสดงให้เห็นว่า เป็นการปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ


ส่วนข้อกล่าวอ้างอื่น ๆ ได้แก่ การค้นบ้านพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์เป็นเหตุให้ไม่ได้รับเลือกให้เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติก็ดี การโอนคดีไปอยู่ในความรับผิดชอบของ บช.สอท. ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีสาเหตุโกรธเคืองกับโจทก์ก็ดี ไม่อาจฟังได้ว่าจำเลยกับพวกกระทำความผิดตามฟ้อง ศาลจึงพิพากษายกฟ้อง

-------------







































รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/5GMaiYjYpEU

แท็กที่เกี่ยวข้อง  ทนายตั้ม ,ส่วยบิ๊กตำรวจ

คุณอาจสนใจ