สังคม

เตือนภัย! เสี่ยใจบุญประสานโรงเรียนช่วยหาเด็กทำงานหาเงินเรียน ก่อนพาเข้าโรงแรมพยายามขืนใจ

โดย parichat_p

23 ส.ค. 2566

292 views

เตือนภัยโรงเรียน เสี่ยอสังหาริมทรัพย์ ทำทีเป็นใจบุญประสานโรงเรียนช่วยหาเด็กทำงานบ้านแลกค่าแรงทุนการศึกษา สุดท้ายพาเด็กเข้าโรงแรมพยายามข่มขืน



หลังจากมีผู้ปกครองของเด็กหญิง อายุ 13 ปี ได้ประสานขอความช่วยเหลือจากมูลนิธิวินวิน ให้ช่วยตรวจสอบ กรณีเด็กหญิงอายุ 13 ปี ซึ่งเป็นนักเรียนของโรงเรียนแห่งหนึ่งในพื้นที่อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี ถูกเสี่ยเจ้าของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ ล่อลวงโดยหลอกว่าจะพาไปทำงานทำความสะอาดบ้าน แลกกับค่าแรง 350 บาท ก่อนพาเด็กเข้าโรงแรมพยายามข่มขืนกระทำชำเรา


แต่สุดท้ายทำไม่สำเร็จ ให้เงินเด็ก 350 บาทก่อนพาไปส่งบ้านและย้ำไม่ให้แจ้งความหรือบอกคนอื่น ก่อนที่ทางครอบครัวของเด็ก จะทราบเรื่อง และพาเด็กเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่คดีกลับยังไม่มีความคืบหน้า ขณะที่สังคมตั้งคำถาม เกี่ยวกับ พฤติกรรมของผู้อำนวยการโรงเรียน ที่เป็นคนจัดหาเด็กไปทำงานทำความสะอาดบ้านกับเสี่ยเจ้าของบริษัทอสังหาริมทรัพย์จนเกิดเรื่องดังกล่าวขึ้น ว่ามีส่วนรู้เห็น กับการก่อเหตุหรือไม่นั้น



ล่าสุด วันนี้ 23 สิงหาคม 2566 นางสาวชลิดา พะละมาตย์ ประธานที่ปรึกษามูลนิธิวินวิน พร้อมด้วย นางนิตยา จันทร์เพ็ญ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลพังตรุ เจ้าหน้าที่พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดกาญจนบุรี เจ้าหน้าที่บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดกาญจนบุรี เดินทางลงพื้นที่โรงเรียนของเด็กหญิงวัย 13 ปีที่ถูกล่อลวงไปก่อเหตุ ในพื้นที่ตำบลพังตรุ อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี พร้อมกลับได้พูดคุยกับนางสาวธปารย์เอื้อ อารีย์สุวรรณ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนของเด็กที่ถูกก่อเหตุ


โดยผู้อำนวยการโรงเรียนให้ข้อมูลว่า ได้รู้จักกับเสี่ยเจ้าของบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายดังกล่าว จากการไปทำบุญที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรีร่วมกัน ก่อนจะมีการพูดคุยทำความรู้จักกันในฐานะของเพื่อนสายบุญ ที่ชอบทำบุญช่วยเหลือผู้ยากไร้ ก่อนที่ในเวลาต่อมา เสี่ยเจ้าของบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายดังกล่าว จะเดินทางมาหาตนที่โรงเรียน พร้อมพูดคุยว่า อยากจะช่วยเหลือเด็กในโรงเรียนที่มีฐานะยากจน โดยการให้เด็กไปทำงานทำความสะอาดที่บ้านของเสียอสังหาริมทรัพย์แลกกับค่าแรงวันละ 350 บาทในช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์


ซึ่งทางผอ. เมื่อทราบเรื่อง ก็ได้นำเรื่องเข้าที่ประชุมของโรงเรียน เพื่อหาเด็กที่ทางบ้านมีฐานะยากจนและอยากจะมีรายได้เสริมไปทำงานกับเสี่ยคนดังกล่าว ซึ่งมีเด็กที่สนใจจะไปทำงาน 2 คน เป็นเด็กนักเรียนหญิงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 1 คน และมัธยมศึกษาปีที่ 3 อีก 1 คน โดยเริ่มไปทำงานวันแรกในวันเสาร์ที่ 12 สิงหาคม โดยในวันดังกล่าวมีเด็กหญิงบี (นามสมมุติ) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 พร้อมกับนางซี (นามสมมุติ) ซึ่งเป็นแม่บ้านของทางโรงเรียน


เดินทางไปทำงานที่บ้านของเสี่ยรายดังกล่าวด้วยกัน ซึ่งก็ไม่ได้มีเหตุการณ์ใดๆเกิดขึ้น ก่อนที่ในช่วงเย็นของวันที่ 12 สิงหาคม ทางผู้อำนวยการโรงเรียนได้โทรศัพท์ไปสอบถามกับเสี่ยคนดังกล่าว ว่าแม่บ้านและเด็กของโรงเรียนที่ไปทำงานด้วยทำงานเรียบร้อยดีหรือไม่ ก่อนที่เสี่ยรายดังกล่าวจะขอให้ผู้อำนวยการโรงเรียน โทรไปบอกยกเลิกกับทางแม่บ้านของโรงเรียนว่าไม่ต้องมาทำงานที่บ้านของเสี่ยรายดังกล่าวอีกในช่วงวันอาทิตย์ที่ 13 สิงหาคม โดยให้เหตุผลว่าแม่บ้านมีอายุเยอะแล้วและทำงานไม่เรียบร้อย จึงจะขอรับเด็กนักเรียนมาทำงานเพียงคนเดียว


ซึ่งทางผู้อำนวยการโรงเรียนก็ได้โทรศัพท์ไปบอกกับแม่บ้าน ว่าไม่ต้องเดินทางไปทำงานพิเศษที่บ้านของเสี่ยคนดังกล่าวแล้ว ทำให้ในวันอาทิตย์ที่ 13 สิงหาคม มีเพียงเด็กหญิงเอ (นามสมมุติ) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เดินทางไปทำงานกับเสี่ยคนดังกล่าวเพียงคนเดียว โดยเสี่ยคนดังกล่าวได้ขับรถมารับเด็กหญิงเอที่หน้าโรงเรียน แต่ไม่ได้พาเด็ก ไปทำความสะอาดบ้านตามที่ตกลงกันไว้ กลับพาเด็กหญิงเอเข้าโรงแรม และพยายามข่มขืนกระทำชำเราเด็กแต่ไม่สำเร็จ


ซึ่งหลังก่อเหตุไม่สำเร็จ ก็ได้พาเด็กหญิงเอกลับมาส่งที่โรงเรียนพร้อมให้เงินกับเด็กจำนวน 350 บาท พร้อมข่มขู่เด็กว่าไม่ให้นำเรื่องนี้ไปบอกใคร กระทั่งเวลาผ่านไปประมาณ 1 วัน ครอบครัวของเด็กมาทราบเรื่อง จึงได้โทรมาบอกผู้อำนวยการโรงเรียน และพาเด็กเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรสำรอง เพื่อให้ดำเนินคดีกับเสี่ยเจ้าของบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายดังกล่าว


ทั้งนี้ ทางผู้อำนวยการโรงเรียนยืนยันว่า ตนเองไม่ได้มีส่วนรู้เห็น ในการล่อลวงเด็กไปให้กับเสี่ยคนดังกล่าวก่อเหตุแต่อย่างใด ที่ตนหาเด็กไปทำงานก็เพียงเพราะอยากให้เด็กมีรายได้เสริม และไม่คิดว่าเสี่ยคนดังกล่าวซึ่งมีลักษณะเป็นคนใจบุญ จะมาทำพฤติกรรมเลวร้ายเช่นนี้ได้ ผู้อำนวยการโรงเรียนยังได้กล่าวอีกว่า หลังจากตนทราบเรื่องดังกล่าว ทางเสี่ยเจ้าของบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายดังกล่าวยังได้โทรศัพท์กลับมาหาตน พร้อมยอมรับผิดในเรื่องที่เกิดขึ้น โดยบอกว่าพร้อมจะรับผิดชอบ จ่ายค่าเสียหายให้กับครอบครัวของเด็กหญิงรายดังกล่าวด้วย



ด้านนางสาวชลิดา พะละมาตย์ ประธานที่ปรึกษามูลนิธิวินวิน ได้กล่าวว่า หลังจากได้เข้าพูดคุยสอบถามข้อมูลจากทางผู้อำนวยการโรงเรียน เรียบร้อยแล้ว จากนี้ก็จะได้ประสาน กลับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ถึงเรื่องของคดี เนื่องจากมีข้อมูลว่า หลังเกิดเหตุและครอบครัวของเด็กผู้เสียหายได้เข้าแจ้งความแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เรียกครอบครัวของเด็กรวมถึงตัวผู้ก่อเหตุเข้ามาพูดคุยที่สถานีตำรวจ คล้ายกับจะให้มีการตกลงเจรจาค่าเสียหายกัน ซึ่งก็จะต้องสอบถามกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าคดีเช่นนี้สามารถยอมความได้หรือไม่


เนื่องจากเด็กหญิงผู้เสียหายมีอายุเพียง 13 ปี และการกระทำความผิดดังกล่าวก็เป็นคดีอาญาที่เกิดกับเด็กอายุไม่ถึง 15 ปีจึงน่าจะไม่สามารถยอมความกันได้ อีกทั้งทางมูลนิธิเอง อยากจะให้เจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยตรวจสอบประวัติของเสี่ยเจ้าของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นผู้ก่อเหตุ ว่ามีการกระทำความผิดในครั้งนี้เป็นครั้งแรกหรือไม่ หรือเคยก่อเหตุกับเด็กนักเรียนของโรงเรียนอื่นในลักษณะเดียวกันมาก่อน เนื่องจากพฤติกรรมของผู้ก่อเหตุ ที่ทำทีเป็นคนใจบุญ ประสานความร่วมมือไปตามโรงเรียนเพื่อให้ช่วยหาเด็กที่มีฐานะยากจนเข้ามาทำงานพิเศษกับตนเอง ก่อนจะล่อลวงเด็กไปก่อเหตุข่มขืนกระทำชำเรา ถือเป็นพฤติกรรมที่อันตรายกับตัวเด็กเป็นอย่างมาก


จึงอยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยตรวจสอบอย่างละเอียดด้วย และในส่วนคดีของเด็กหญิงเอ ที่ถูกล่อลวงไปพยายามข่มขืนกระทำชำเรานี้ ก็อยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีเอาผิดกับผู้ก่อเหตุให้ถึงที่สุด เพื่อให้ครอบครัวของเด็กหญิงผู้เสียหายได้รับความเป็นธรรม



ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าว ได้สอบถามไปยังพันตำรวจเอกอนันต์ไพศาล แดงดอนไพร ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรสำรอง อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี ถึงเรื่องความคืบหน้าในการดำเนินคดีกับเสี่ยเจ้าของบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายดังกล่าว ซึ่งทางตำรวจยืนยันว่า ขณะนี้ได้มีการสอบปากคำของผู้ก่อเหตุ รวมถึงสอบปากคำ ครอบครัวของเด็กหญิงที่ถูกก่อเหตุเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงการสอบปากคำเด็กหญิงที่ถูกก่อเหตุร่วมกับเจ้าหน้าที่สหวิชาชีพ


จากนั้นจะได้ ดำเนินคดีกับทางเสี่ยเจ้าของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ผู้ก่อเหตุต่อไป ส่วนที่มีกระแสข่าวว่า ทางตำรวจเรียกครอบครัวของเด็กหญิงผู้เสียหายพร้อมกับทางเสี่ยเจ้าของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ผู้ก่อเหตุเข้ามาพูดคุยเจรจาที่สถานีตำรวจนั้น ทางตำรวจขอยืนยันว่า ไม่ได้เป็นการเรียกมาเพื่อเจรจาตกลงค่าเสียหายเพื่อให้ยอมความกันแต่อย่างใด แต่ที่เรียกมาในวันดังกล่าว เนื่องจากตัวของผู้ก่อเหตุมีความประสงค์อยากจะจ่ายเงินเยียวยาให้กับทางครอบครัวของเด็กหญิงที่ถูกก่อเหตุเท่านั้น ทางตำรวจขอยืนยันว่า จะดำเนินการสอบสวนพร้อมดำเนินคดีกับเสี่ยเจ้าของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ผู้ก่อเหตุไปตามกฎหมายอย่างแน่นอน

คุณอาจสนใจ

Related News