พล.อ.อับเดล-ฟัตตอห์ เบอร์ฮาน ผู้นำรัฐประหารของซูดาน เปิดเผยว่าการที่กองทัพเข้ายึดอำนาจก็เพื่อป้องกัน “สงครามกลางเมือง”

“อันตรายที่เราเห็นเมื่อสัปดาห์ที่แล้วอาจทำให้ประเทศเข้าสู่สงครามกลางเมือง”

ส่วนนายกรัฐมนตรี อับดุลลา ฮัมดอกได้ถูกนำตัวไปกักไว้ที่บ้านพักของ เก็บไว้ที่บ้านของตนเอง “เพื่อความปลอดภัยของเขาเอง” และจะได้กลับบ้านเมื่อวิกฤตสิ้นสุดลง และภัยคุกคามทั้งหมดหายไป

ขณะที่การประท้วงยังคงดำเนินต่อไปเป็นวันที่สองในกรุงคาร์ทูม ซึ่งเป็นเมืองหลวง โดยมีการปิดถนน สะพาน ร้านค้าต่างๆ ขณะที่สัญญาณโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตก็ถูกรบกวนเช่นกัน ทั้งนี้มีรายางานว่ามีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 10 คนแล้ว

ทั้งนี้ผู้นำรัฐประหารอ้างว่า การกระทำดังกล่าวเนื่องจาก มีกลุ่มการเมืองยุยงพลเรือนให้ต่อต้านกองกำลังความมั่นคง ขณะที่มีรายงานว่าคณะรัฐประหารได้เตรียมรายชื่อรัฐมนตรี รวมทั้งสัญญาว่าจะประกาศแต่งตั้งผู้พิพากษาระดับสูงภายในสองวัน

ขณะที่ทั่วโลกได้ประณามการกระทำดังกล่าว และเรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้นำทางการเมืองที่ถูกจับกุมทั้งหมด

อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ กล่าวว่า ซูดานเป็นหนึ่งใน “การแพร่ระบาดของการรัฐประหาร” ที่ส่งผลกระทบต่อแอฟริกาและเอเชีย และเขาเรียกร้องให้มหาอำนาจของโลกรวมตัวกันเพื่อ “ยับยั้งอย่างมีประสิทธิภาพ” ผ่านคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ

ในขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ได้ระงับเงินช่วยเหลือซูดานมูลค่า 700 ล้านเหรียญสหรัฐ (508 ล้านปอนด์) และสหภาพยุโรปก็ขู่ว่าจะทำเช่นเดียวกัน ทั้งสองเรียกร้องให้มีการฟื้นฟูรัฐบาลพลเรือนโดยไม่มีเงื่อนไขเบื้องต้น

รายงานว่าเจ้าหน้าที่ที่ธนาคารกลางของประเทศหยุดงานประท้วง และแพทย์ทั่วซูดานถูกกล่าวว่าปฏิเสธที่จะทำงานในโรงพยาบาลของกองทัพ ยกเว้นในกรณีฉุกเฉิน

ทั้งนี้ผู้นำพลเรือนและทหารเริ่มขัดแย้งตั้งแต่ นายอุมัร อัลบะชีร ผู้นำเผด็กการได้ถูกโค่นล้มในปี 2019 ข้อตกลงแบ่งปันอำนาจระหว่างผู้นำพลเรือนและกองทัพได้รับการออกแบบมาเพื่อนำซูดานไปสู่ระบอบประชาธิปไตย แต่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเปราะบางจากความพยายามรัฐประหารหลายครั้งก่อนหน้านี้ ซึ่งครั้งล่าสุดเมื่อเดือนที่แล้ว

พล.อ.เบอร์ฮาน ซึ่งเป็นหัวหน้าสภาแบ่งปันอำนาจกล่าวว่าซูดานมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนไปสู่การปกครองแบบพลเรือน โดยจะมีการเลือกตั้งในเดือนกรกฎาคม 2023