เศรษฐกิจ

'ไทย-จีน' ลงนาม 'ยกเว้นวีซ่า' มีผล 1 มี.ค.67 - จ่อหารือกันปีละครั้ง ผลัดกันเป็นเจ้าภาพ

โดย nattachat_c

29 ม.ค. 2567

34 views

วานนี้ (28 ม.ค. 67) ที่กระทรวงการต่างประเทศ นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และ 'หวัง อี้' ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกลางด้านการต่างประเทศพรรคคอมมิวนิสต์จีน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีน ได้ร่วมลงนามในพิธีความตกลง และเอกสารสำคัญไทย-จีน ว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราซึ่งกันและกัน สำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดา และหนังสือเดินทางกึ่งราชการ โดยความตกลงดังกล่าว จะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2567 เป็นต้นไป


นายปานปรีย์ แถลงภายหลังการลงนามว่า มีความยินดีที่ได้ต้อนรับ 'หวัง อี้' รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่มาเยือนไทยในฐานะแขกของกระทรวงการต่างประเทศ และเป็นที่น่ายินดีอย่างยิ่ง ที่ในช่วง 2 เดือน ที่ผ่านมา ผมได้พบปะหารือกับ 'หวัง อี้' ถึง 2 ครั้ง เป็นโอกาสที่ได้หารืออย่างในละเอียด กว้างขวาง ในประเด็นยุทธศาสตร์สำคัญของทั้ง 2 ประเทศ รวมทั้งเรื่องสำคัญในภูมิภาค


นายปานปรีย์ ยังกล่าวถึงการประชุมกลไกการหารือระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไทย - จีน ครั้งที่ 1 ว่า


ถือเป็นก้าวสำคัญของรัฐมนตรีต่างประเทศทั้ง 2 ประเทศ ซึ่งตามข้อตกลง มีการสลับกันเป็นเจ้าภาพหารือกันอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง โดยในวันนี้ มีการหารือส่งเสริมความร่วมมือในทุกด้าน เรายืนยันจะสนับสนุนซึ่งกันและกัน ในทุกมิติ ทั้ง...

  • การเพิ่มพูนการค้า
  • การลงทุน
  • ความมั่นคง
  • วัฒนธรรม
  • การท่องเที่ยว
  • การอำนวยความสะดวกด้านการเชื่อมโยง
  • ความสัมพันธ์ระหว่างประชาชน
  • ความร่วมมือในเวทีพหุภาคีในภูมิภาค


นายปานปรีย์ กล่าวต่อไปว่า เรายังได้แลกเปลี่ยนมุมมองสถานการณ์ในภูมิภาคและระหว่างประเทศ ที่สำคัญต่อภูมิรัฐศาสตร์โลก และภูมิภาคของเรา ไม่ว่าจะเป็น

  • สถานการณ์ในเมียนมา
  • สถานการณ์คาบสมุทรเกาหลี
  • สถานการณ์ในตะวันออกกลาง


เราเห็นว่าความสัมพันธ์ไทย-จีน สำคัญต่อเสถียรภาพ และความเจริญในภูมิภาคอย่างยิ่ง จึงจะยึดแนวทางของประชาคมไทย-จีน เพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืนยิ่งขึ้นไป


นายปานปรีย์ กล่าวว่า ไทยกับจีนได้ลงนามในเอกสารความสำคัญที่สะท้อนความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด อย่างความตกลงยกเว้นการตรวจลงตรา และที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2567 เป็นต้นไป ถือว่าความตกลงนี้ เป็นสัญลักษณ์ของมิตรภาพไทย-จีน ที่มีมาอย่างยาวนาน


"เราถือว่าความไว้เนื้อเชื่อใจได้ทุกระดับ มั่นใจว่าการเดินทางไปมาหาสู่ระหว่างประชาชน การท่องเที่ยว หรือติดต่อธุรกิจต่าง ๆ จะเป็นไปอย่างสะดวกสบาย ช่วยกระตุ้นภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของทางฝั่งไทยและจีน ได้อย่างแน่นอน


โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในปี 2568 จะเป็นโอกาสพิเศษยิ่ง ที่ไทยกับจีนได้เฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน เพื่อให้ความร่วมมือที่แน่นแฟ้นอยู่แล้ว เพิ่มขึ้นในทุกด้าน"


ขณะที่ 'หวัง อี้' กล่าวว่า ตนยินดีมากที่ได้มาเยือนไทยในช่วงปีใหม่ เราทั้ง 2 ฝ่ายได้เห็นมิตรภาพจีนไทยเป็นความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน ในปีหน้าเราทั้ง 2 ประเทศจะเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีนและไทย ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างจีนไทยนั้น ได้ถือว่าผ่านความท้าทาย มีความเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอด แต่ก็มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นมากขึ้น


สำหรับจีน เราให้ความสำคัญมากกับการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างกัน เราสนับสนุนไทยตามเส้นทางการพัฒนา ซึ่งตรงกับสถานการณ์ความเป็นจริง และขอชื่นชมทางฝ่ายไทย ที่ยึดมั่นกับหลักการประเทศจีนเดียว และสนับสนุนตามข้อริเริ่มทั่วโลก โดย ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง คือ TDI TFI และ GCI


และเมื่อสักครู่นี้ ทั้ง 2 ฝ่าย ได้ลงนามความตกลงยกเว้นวีซ่า ซึ่งเชื่อมั่นได้ว่าจะเป็นกระแสหลักใหม่ของการแลกเปลี่ยนของประชาชนทั้ง 2 ประเทศ จำนวนนักท่องเที่ยวจีนมาถึงเมืองไทยก็จะเพิ่มมากขึ้น และทางจีนก็ยินดีต้อนรับคนไทยมาเที่ยวที่ประเทศจีนด้วย


"มาสัมผัสพลวัตของประเทศจีน มาคุยกันกับประชาชนจีนที่นิสัยดี มาสัมผัสชีวิตประจำวันของประเทศจีน จีนไทยไม่ใช่อื่นไกล เป็นพี่น้องกัน ประชาชนทั้ง 2 ประเทศ มีความผูกพันที่ใกล้เคียงกัน เรามีการเดินทางไปมาหาสู่กันมากขึ้น ชีวิตประจำวันของทั้ง 2 ประเทศก็จะดีมากยิ่งขึ้น" นายหวัง อี้ กล่าว


'หวัง อี้' กล่าวอีกว่า เราทั้ง 2 ฝ่าย ก็เห็นด้วยว่า ผลประโยชน์ของทั้ง 2 ประเทศ มีศักยภาพสูง ทั้ง 2 ฝ่าย มีการพัฒนาแบบทันสมัย จีนเป็นหุ้นส่วนการค้ารายใหญ่ที่สุดของไทย และเป็นแหล่งทุนต่างชาติรายใหญ่ของไทยด้วย เราทั้ง 2 ฝ่าย จึงต้องมีความร่วมมือในอนาคตที่มากขึ้น และเรายังเห็นพ้องตรงกัน ที่จะเร่งสร้างรถไฟจีนไทย เพื่อเชื่อมโยงกันระหว่าง จีน - ลาว - ไทย


นอกจากนี้ ทั้ง 2 ฝ่าย กำลังจะเซ็นสัญญาส่งออกสินค้าเนื้อสัตว์ และต้นสนไทยไปยังประเทศจีน ซึ่งจีนมีความยินดีที่จะนำเข้าสินค้าเกษตรของไทยมากยิ่งขึ้น และสนับสนุนให้บริษัทจีนมาลงทุนในไทย พัฒนาความร่วมมือด้านรถยนต์ไฟฟ้า เศรษฐกิจดิจิทัล และด้านสิ่งแวดล้อมสีเขียว


รวมถึงจะมีการพัฒนาความร่วมมือบังคับใช้กฎหมายความมั่นคง เพื่อปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ การหลอกลวงทางโทรศัพท์ การพนันออนไลน์ และยาเสพติด พร้อมทั้ง สร้างทรัพยากรที่มีความมั่นคงทั้ง 2 ประเทศ


'หวัง อี้' กล่าวทิ้งท้ายว่า เราทั้ง 2 ฝ่าย มีความต้องการที่จะส่งเสริมความร่วมมือพหุภาคีระหว่างกันให้ทันกับสถานการณ์ทั่วโลกที่มีความเปลี่ยนแปลง ยึดมั่นใน 5 หลักการ อยู่ร่วมกันอย่างสันติ เพื่อรักษาเสถียรภาพของภูมิภาคนี้


และฝ่ายจีนจะสนับสนุนฝ่ายไทย ในการจัดการประชุมระดับผู้นำ และรัฐมนตรี เพื่อร่วมมือสร้างประชาคมในอนาคต ตามแนวประเทศล้านช้าง-แม่โขง


และจีนยินดีที่จะร่วมมือกับไทย สร้างประชาคมอนาคตจีน-ไทย ให้มั่นคง มั่งคั่ง ยังยืน เพื่อสร้างเสถียรภาพ และความแน่นอน ซึ่งสถานการณ์โลกกำลังเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลง


สำหรับพิธีการลงนามในวันนี้ เป็นหนี่งในภารกิจในโอกาสการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของ 'หวัง อี้' ระหว่าง 26-29 มกราคม 2567


หลังเสร็จสิ้น 'หวัง อี้' มีกำหนดการเดินทางต่อไปยัง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวต่อไป  

--------------



รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/IXkSoEhBuk4




คุณอาจสนใจ

Related News