อาชญากรรม
'เอ็ม' ไอ้เหี้ยมฆ่าลูก มือลอดลูกกรงจับมือปลอบใจเมีย - 'พ่อเอ็ม' เผยเคยถูกทำร้าย แต่ไม่เชื่อลูกฆ่าอีก 4 ศพ
โดย nattachat_c
21 ก.ย. 2566
280 views
จากกรณี เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2566 ชาวบ้านในพื้นที่ได้ร้องสื่อ และ กัน จอมพลัง ให้เข้าไปช่วยเหลือเด็กหญิง อายุ 12 ขวบ และ 4 ขวบ ถูกพ่อทำร้ายร่างกาย เอาไฟลนทั่วตัว โดยเด็ก 4 ขวบ ถูกพ่อเอาสายฉีดน้ำ ฉีดใส่ตาจนตาบอด
วันนั้น ตำรวจ สน.บางเขน เข้าไปตรวจสอบ พบว่า พ่อเด็กหนีไปแล้ว ส่วนแม่เด็ก อ้างว่า ลูกเป็นออทิสติก ชอบทำร้ายตัวเอง และยังบอกอีกว่า ลูกอายุ 12 ขวบ มักพูดโกหก เจ้าหน้าที่จึงแยกตัวเด็กไปดูแล
ต่อมา ตำรวจสืบในทางลับ ตามที่พ่ออ้างว่า ทั้งคู่มีลูกอีกคนอายุ 2 ขวบ แต่ให้ปู่เอาไปเลี้ยงให้ ตำรวจจึงนำตัวปู่มาสอบ ปู่ให้การปฏิเสธ
ตำรวจจึงไปจับกุม นายเอ็ม อายุ 46 ปี และ นางจุ๋ม อายุ 40 ปี พ่อและแม่ของเด็ก ที่ห้างสรรพสินค้าย่านรังสิต โดยนายเอ็มยอมรับสารภาพว่า ก่อนหน้านี้ ได้ฆ่าลูกสาววัย 2 ขวบ แล้วเอาศพไปโบกปูนฝัง ที่บ้านของนางจุ๋ม ที่กำแพงเพชร
-----------
ในเวลาต่อมา จึงได้พบว่านายเอ็มได้ฆ่าลูกอีกรายหลาย แต่ก่อนที่จะพูดถึงเรื่องราวอย่างละเอียด ขอแนะนำแผนผังครอบครัวของนายเอ็ม ดังนี้
นายส่องศักดิ์ หรือนายเอ็ม มีภรรยา 4 คน ลูก 10 คน ซึ่งทั้งหมดคบซ้อนในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ทำให้ลูกที่เกิดมาจากเมียทั้ง 4 คน อายุไม่ต่างกันมาก
ภรรยาคนที่ 1
คือ นาง ศิรินันท์ อยู่ที่จังหวัดตรัง มีลูกด้วยกัน 1 คน ปัจจุบัน อายุ 20 ปี
ภรรยาคนที่ 2
คือ นางสาว เจษฎา อยู่ที่จังหวัดชุมพร มีลูกด้วยกัน 5 คน เป็นผู้หญิง 1 ผู้ชาย 4 คน
ลูกคนแรก คือ เด็กหญิงวัย 12 ปี ถูกทำร้ายร่างกายสาหัส และ กัน จอมพลัง ช่วยออกมาได้ เมื่อวันที่ 10 กันยายน
ลูกชายคนที่ 2 เสียชีวิตในปี 2556 เมื่ออายุได้ 10 เดือน นำศพมาทิ้งใต้ต้นไม้สวนจตุจักร
ลูกชายคนที่ 3 อายุเพียง 1 เดือน ตายในปี 2557 เอาศพไปทิ้งย่านสายไหม
ลูกชายคนที่ 4 ตายเป็นศพที่ 3 ขณะอายุได้ 3 เดือน นำศพมาทิ้งใต้ต้นไม้สวนจตุจักร ในปี 2559
ลูกชายคนสุดท้อง ตายตอนอายุ 5 เดือน นำศพไปทิ้งย่านสายไหมอีกในปี 2561
ภรรยาคนที่ 3
คือ นางสาว ศรินญา เป็นคนจังหวัดตรัง มีลูกด้วยกัน 1 อายุ 10 ปี
ภรรยาคนที่ 4
คือ นางสาว สุุนัน เป็นคนจังหวัดกำแพงเพชร มีลูกด้วยกัน 3 คน คือ
เด็กหญิงวัย 3 ปี ที่มีอาการคล้ายเป็นโรคปากแหว่งเพดานโหว่ ที่ กัน จอมพลัง ช่วยออกมา เมื่อวันที่ 10 กันยายน
คนต่อมา คือ น้องโมเดล เด็กหญิงวัย 2 ขวบ ที่ถูกฆ่าฝังดินโบกปูน ในจังหวัดกำแพงเพชร
คนสุดท้อง เป็นเด็กชายวัย 7 เดือน ปัจจุบันอยู่ที่จังหวัดกำแพงเพชร
-----------
วันที่ 10 ก.ย. ที่ผ่านมา ชาวบ้านในซอยพหลโยธิน 48 แยก 11 ร้องเรียนเพจกันจอมพลังให้เข้าช่วยเหลือเด็กหญิงถูกพ่อแม่ทำร้ายร่างกาย นายกัณฐ์ศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือกันจอมพลัง เข้าช่วยเหลือเด็กหญิงวัย 12 ปี และ 4 ปี สภาพร่างกายตอนนั้นพบว่าเด็กหญิงวัย 12 ปี มีร่องรอยบาดแผลถูกไฟเผาตามร่างกายตั้งแต่นิ้วมือแผ่นหลัง และเกือบทั้งตัวส่วนเด็กหญิงวัย 4 ขวบมีอาการปากแหว่งเพดานโวและตามร่างกายก็มีร่องรอยบาดแผลรวมไปถึงดวงตา ซึ่งจากเดิมเคยป่วยเป็นโรคตาบอดสีแต่ถูกพ่อเลี้ยง ใช้สายชำระฉีดน้ำเข้าเบ้าตาจนตาบอดสนิท
ทีมข่าวสอบถามนายพล คมสันต์ (เสื้อดำ) อายุ 23 ปี ซึ่งเป็นพลเมืองดีที่เขาช่วยเหลือเด็กทั้งสองคนเมื่อวันที่ 10 ก.ย.ที่ผ่านมา นายพล เล่าว่า ตลอดระยะเวลาที่อยู่ข้างห้องไม่เคยได้ยินเสียงเด็กร้อง จนกระทั่งวันที่ 10 ก.ย. เด็กอายุ 12 ปี วิ่งมาเคาะประตูแล้วขอความช่วยเหลือว่าให้ช่วยพาออกไปจากที่นี่ ก่อนที่พ่อจะกลับมา จากนั้นตนจึงวิ่งไปบอกผู้ดูแลตึกให้เข้ามาช่วยและเห็นสภาพเด็กมีรอยแผลไฟไหม้ตามนิ้วมือทุกนิ้วและตามหลังร่องรอยต่างๆ เป็นทั้งบาดแผลใหม่และรอยเก่าทั้งตัว
ส่วนเด็กหญิงวัย 4 ขวบมีอาการปากแหว่งเพดานโห่วก็มีร่องรอยบาดแผลถูกไฟไหม้เช่นกัน และดวงตาบอดสนิท
โดยเด็กหญิงวัย 12 ปี พี่สาว เล่าว่า น้องถูกพ่อนำสายฉีดชำระฉีดเข้าที่เบ้าตาเพราะน้องป่วยเป็นโรคตาบอดสี แต่พ่อใช้น้ำฉีดเข้าตาอย่างแรงโดยไม่ทราบเหตุผล จากนั้นเอ็มและชาวบ้านจึงช่วยเหลือทั้งสองพี่น้องโดยประสานผ่านทางเพจกันจอมพลัง โดยแม่ของเด็ก อ้างว่าแผลที่เกิดขึ้นเด็กทำเองเพราะชอบเล่นไฟแช็กลนตัวเอง ซึ่งในวันนั้นนายเอ็ม พ่อเด็ก ไม่อยู่และหายตัวไป
-----------
ในการหาพยานหลักฐานนั้นจากคำให้การของนางสาวเจษฎา ให้การว่านำร่างของลูกชายวัย 1 เดือนและ 2 เดือนมาทิ้งบริเวณริมถนนพหลโยธินช่วง กม.25 ซึ่งอยู่ระหว่างปั๊มน้ำมัน 2 ปั๊ม โดยนำศพลูกชาย 2 คน มาทิ้งเมื่อปี ปี 2559 และ ปี 2561
โดยนางสาวเจษฎา ให้การว่า เมื่อนายเอ็มทำร้ายลูกวัยหนึ่งเดือนเสียชีวิตแล้วก็นำร่างใส่ถุงดำมาทิ้ง ที่บริเวณหน้าศาลพระภูมิ เพื่อต้องการให้ปกปักรักษา โดยจุดที่เป็นศาลเก่านั้น ถูกรื้อ และย้ายไปจุดที่อยู่ใกล้เคียงกันประมาณ 50 เมตร
จากนั้นเจ้าที่ตำรวจพิสูจน์หลักฐานได้เข้าไปตรวจสอบจุดที่ทิ้งศพ พร้อมกับเก็บหลักฐานบางส่วน ที่คาดว่าน่าจะเชื่อมโยงกับคดีไปตรวจพิสูจน์
พลตำรวจตรีนพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผบชน เปิดเผยว่า จุดนี้มาตรวจสอบตามคำให้การรับสารภาพของแม่เด็กคือนางสาวเจษฎา บอกว่าในช่วงปี 2559 และปี 2561 ได้นำศพลูกชายมาทิ้งไว้ที่นี่ เมื่อมาตรวจสอบพบว่าจุดนี้มีสภาพแวดล้อมทางกายภาพเปลี่ยนไปจากเดิม ซึ่งเมื่อก่อนเป็นป่ารก มีคลอง แต่จุดเดิมที่ไม่เปลี่ยนคือศาลพระภูมิที่เคยติดกับเพลิงร้านค้าประมาณ 50 เมตร เป็นจุดที่ผู้ต้องหาจำได้ว่านำร่างเด็กมาทิ้งไว้จุดนี้
ส่วนจุดอื่นๆ แปรสภาพ สร้างปั๊มน้ำมัน และมีการถมที่ ยกดินให้สูงขึ้น ซึ่งเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานจะทำการตรวจสอบข้อมูลจากพยานบุคคลและพยานแวดล้อมทั้งหมด รวมถึงตรวจสอบผู้รับเหมาก่อสร้างที่มาถมที่ว่าขณะนั้นมีสิ่งผิดปกติอะไรบ้าง รวมถึงพยานแวดล้อม ร้านค้า คนเก็บขยะ และจะมีการนำเครื่องจักรมาเปิดหน้าดินเพื่อตรวจสอบว่ายังมีหลักฐานหลงเหลืออยู่หรือไม่ เช่น กระดูกของเด็ก และจากการตรวจสอบสภาพแวดล้อมอาจมีพวกสัตว์เลื้อยคลานมากัดกินเนื้อหรือลากศพเด็กออกไปที่อื่น ซึ่งตำรวจจะตรวจสอบและดูให้ครบถ้วนทุกมิติ
ส่วนเรื่อง DNA ของเด็กที่พบว่ามีการนำไปทิ้งในพื้นที่ สน.บางซื่ออีก 2 ศพนั้น เจ้าหน้าที่ได้เก็บดีเอ็นเอไว้ ตั้งแต่ปี 2555 ศพนิรนามทุกคน จะเก็บ DNA ไว้
กรณีศพเด็กสองรายนั้นก็มีการตรวจดีเอ็นเอซึ่งจะนำมาเปรียบเทียบกับดีเอ็นเอของนายเอ็มและนางสาวเจษฎา เพื่อทำการยืนยันว่าตรงกับศพนิรนามใดหรือไม่ โดยใช้ DNA ของพ่อและแม่เป็นตัวตั้ง
หลังจากมีการตรวจสอบค้นหาหลักฐาน ศพของเด็กชาย ที่นายเอ็มและนางสาวเจษฎา นำมาทิ้งบริเวณป่าบริเวณ ถนนพหลโยธินช่วงหลักกิโลเมตรที่ 25 ช่วงเย็นตำรวจได้ประสานนำรถแบคโฮขนาดเล็กเข้ามาขุดพื้นดินด้านล่างเพื่อตรวจสอบหาหลักฐานชิ้นส่วนกระดูกของเด็กทารกทั้งสองคนตามคำให้การ ของนางสาวเจษฎา ปรากฏว่าระหว่างที่ค้นหาไปใกล้เคียงกับศาลพระภูมิ ตามคำให้การของนางสาวเจษฎา
กระทั่ง เวลา 19.25 น. ชุดค้นหา ได้พบกระดูก 2 ชิ้น เจ้าหน้าที่ได้ทำการประสานแพทย์โรงพยาบาลภูมิพลมาตรวจสอบ โดยแพทย์ทำการตรวจสอบในเบื้องต้นระบุว่า กระดูกชิ้นที่มีความยาว 13 เซนติเมตร เป็นกระดูกคน ส่วนท่อนแขนด้านบน (แขนซ้าย) อายุประมาณ 2 ปี
โดยตำรวจพิสูจน์หลักฐานจึงนำเก็บไปตรวจสอบเปรียบเทียบกับดีเอ็นเอของนางสาวเจษฎา และนายเอ็มเพื่อตรวจสอบว่าตรงกันหรือไม่ หากตรงกันก็ถือว่าเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่ระบุได้ว่าสองสามีภรรยาฆ่าลูกของตนเองอีก 4 คน ซึ่งการฆ่าลูกอีก 4 คนนั้น นายเอ็มไม่ยอมให้การว่าร่วมกับนางสาวสุนันท์ มีเพียงนางสาวเจษฎา ให้การกับตำรวจเท่านั้น
และเช้าวันนี้ (21 ก.ย.) พนักงานสอบสวนจะควบคุมตัวนายเอ็มและนางสาวสุนันสองสามีภรรยาไปฝากขังที่ศาลอาญาในคดีฆ่าน้องโมเดลลูกสาวตนเองและโบกปูนในพื้นที่จังหวัดกำแพงเพชร โดยจะนำตัวไปฝากขังที่ศาลอาญาส่วนคดีอื่นๆนั้นก็ลอหลักฐานหากชี้ชัดก็จะมีการแจ้งข้อหาเพิ่มเติม
-------------
สำหรับนายเอ็มนั้นมีภรรยาพร้อมกันหลายคนโดยที่ภรรยาแต่ละคนไม่ทราบมาก่อนว่านายเอ็มนอกใจไปมีภรรยาคนอื่นๆและมีภรรยาแต่ละคนก็จะมีลูกทุกคน
เมื่อมีลูกแล้วนายเอ็มจะเป็นคนเลี้ยงดูและจะคอยดูแลลูกเป็นหลักส่วนฝ่ายหญิงจะเป็นคนทำงานหาเลี้ยงครอบครัวอย่างกรณีรายล่าสุดภรรยาที่ชื่อนางสาวสุนันก็เป็นคนหาเลี้ยงครอบครัวโดยให้นายเอ็มเป็นคนเลี้ยงลูก
ซึ่งระหว่างการเลี้ยงลูกนายเอ็มมีพฤติกรรมไม่ชอบเด็กร้อง และการงอแงตามวัยของเด็กทำให้นายเอ็มต้องลงมือทุบตีบางครั้งก็ตีในลักษณะคล้ายกับการซ้อมจนเด็กเสียชีวิต
ซึ่งเด็กทุกคนอายุหนึ่งถึงสองขวบและมีพี่คนโตพี่อายุ 12 ปีก็ถูกกระทำตั้งแต่เด็กเช่นกัน
ซึ่งกรณีของน้องโมเดลนายเอ็มก็ตี ขณะที่นางสาวสุนันท์ เมียคนล่าสุดไม่อยู่ เมื่อกลับมาก็พบ สภาพของ น้องโมเดลนอนแน่นิ่งอยู่บนที่นอน แต่ไม่ได้เสียชีวิตในทันที
จากนั้นแม่ได้ซื้อยามาให้ลูกกินแต่ ไม่พาไปหาหมอจนกระทั่งลูกเสียชีวิตก็ช่วยกันอำพรางโดยพยานที่เห็นเหตุการณ์ระบุว่าเห็นนายเอ็มอุ้มร่างลูกสาววัยสองขวบเดินออกจากห้อง โดยนางสาวสุนันเดินถือกุญแจรถลงไปรอข้างล่างและเปิดกระโปรงท้ายรถก่อนจะขับไปจังหวัดกำแพงเพชรเพื่อฝังอำพรางและโบกปูน
-------------
เมื่อเวลา 19.25 น. วานนี้ (วันที่ 20 ก.ย.) เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนสน. บางเขน นำตัว น.ส.สุนัน นาหัวนิล แม่ของ ด.ญ.วัย 2 ขวบ (น้องโมเดล) ที่เสียชีวิตแล้วถูกนำ ไปฝังโบกปูนที่จังหวัดกำแพงเพชร ออกจากห้องคุมขังเพื่อมาสอบปากคำหลังจากที่เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน ได้พบกระดูกชิ้นที่มีความยาว 13 เซนติเมตร ลักษณะคลายกระดูกคน ส่วนท่อนแขนด้านบน ที่บริเวณซอยพหลโยธิน 56 ราว 200 เมตร ข้างปั๊มน้ำมัน ปตท.ซึ่ง เป็นจุดที่ผู้ต้องหาให้การว่านำศพเด็กมาทิ้งตั้งแต่ปี 2559 และ 2561
โดย น.ส.สุนัน มีสีหน้าเคร่งเครียดและไม่ยอมตอบคำถามสื่อมวลชนแต่อย่างใด แค่สายหน้าว่าไม่ได้ทำร้ายลูกเมื่อสื่อมวลชนถาม
ต่อมาเมื่อเวลา 20.45 น. หลังจากฝ่ายสืบสืบสวน สน.บางเขนได้นำตัว น.ส.สุนัน นาหัวนิล ออกจากห้องขังมาสอบสวนเป็นเวลา 1 ชม.จากนั้นได้คุมตัวกลับมาที่ห้องขัง ตามเดิมเพื่อรอการฝากขังในวันนี้ (21 ก.ย.) เป็นผลัดแรก
-------------
ส่วนนายนายส่องศักดิ์ ส่งแสง อายุ 46 ปี ที่อยู่ในห้องขัง พบว่ามีอาการเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด หลังจากที่เจ้าหน้าที่ ได้ให้ข้าวกิน นายส่องศักดิ์ กินเสร็จแต่ก็ไม่ยอมนอน เดินไปมาอยู่ในห้องขัง เจ้าหน้าที่ต้องคอยจับ ดูพฤติกรรมอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากเกรงว่าผู้ต้องหาจะทำร้ายตัวเอง
ซึ่งทาง พล.ต.ต.อรรถพล อนุสิทธิ์ ผบก.น.2 อยู่ระหว่างการประชุมติดตามความคืบหน้าร่วมกับ ฝ่ายสืบสวน บก.น2 ฝ่ายสืบสวน สน.บางเขน และเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง
-------------
ช่วงเย็นวานนี้ ตำรวจได้คุมตัวนางสาวสุนันท์ แม่ของน้องโมเดล เด็กหญิงวัย 2 ขวบ ที่ถูกฆ่าฝังโบกปูน ไปสอบปากคำเพิ่มเติม ที่ห้องสอบสวนคดีเด็กและเยาวชน ซึ่งบรรยากาศช่วงนั้นนางสาวสุนันท์ ไม่พูดอะไรกับสื่อมวลชนก้มหน้าก้มตา รีบเดิน และมีเสียงสะอื้นร้องไห้ ภายหลังสอบปากคำนานกว่า 1 ชั่วโมง ตำรวจก็คุมตัวนางสุนันท์ กลับมาที่ห้องคุมขัง
โดยหลังจากที่ นางสาวสุนันท์ เข้าไปในห้องขัง นักข่าวสังเกตุเห็นจาก กล้องวงจรปิดที่ตำรวจใช้มอนิเตอร์ เพื่อเฝ้าระวังผู้ต้องหา พบว่านางสาวสุนันท์ อยู่ในห้องขัง ก็นั่งชันเข่า เอามือปิดหน้าร้องไห้ตลอดเวลา
โดยตำรวจได้ย้ายนายเอ็ม มาอยู่ห้องขังข้างๆ ระหว่างนั้น นางสาวสุนันท์ และนายเอ็มได้มีการพูดคุยกันผ่านห้องขังเพื่อผ่อนคลายไม่ให้เกิดความเครียด
โดยนายเอ็ม ก็ได้นั่งหันเข้าหากำแพง และพูดคุยกัน และทั้งสองคนก็เอามือมาจับกันไว้ตลอด เป็นการเอามือรอดลูกกรง มาจับกันไว้เป็นลักษณะปลอบใจ ซึ่งภาพเหล่านี้ผู้สื่อข่าวได้มอนิเตอร์จากภาพกล้องวงจรปิดที่หน้าห้องขัง สน.บางเขนแต่ไม่สามารถบันทึกภาพได้ตามกฎหมาย
โดยนายเอ็ม ซึ่งถูกสอบปากคำตลอดทั้งคืนเปิดใจยอมรับทั้งน้ำตาว่าทำร้ายลูกเพราะตนมีอาการป่วยทางจิตเวชมานานหลายปี สิ่งที่เกิดขึ้นตนสำนึกผิดนักข่าวพยายามถามนายเอ็มในหลายประเด็น ทั้งความรู้สึกในช่วงวินาทีที่ก่อเหตุฆ่าลูกสาว // นายเอ็มมีเมียกี่คน มีลูกกี่คน // เคยฆ่าลูกมาแล้วกี่คน // แต่นายเอ็มไม่ตอบคำถามมีเพียงแต่เสียงสะอื้นร้องไห้ออกมา
นายเอ็มมีบัตรประสาทวิทยา ปี 56 ขณะ 36 สมเด็จเจ้าพระยา ปี 58 ขณะอายุ 38 ปี
-------------
พล.ต.ต อรรถพล อนุสิทธิ์ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 2 บอกว่า แจ้งข้อหา สุนันท์ ส่วนเจขษฎาไม่มีหลักฐาน ส่วนนายเอ็มต้องรอส่งตรวจด้านจิต
-------------
ทีมข่าวเรื่องเล่าเช้านี้ได้โทรศัพท์สอบถามนายจารึก ส่งแสงพ่อของนายเอ็ม ซึ่งอาศัยอยู่จังหวัดตรัง
เปิดใจที่แรกว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตกใจมากเนื่องจากนายเอ็มขาดการติดต่อกับครอบครัวมากกว่า 20 ปีแล้วจึงไม่รู้ว่ามีลูกมีเมียกี่คนและไปอาศัยอยู่ที่ใดจนกระทั่งวันที่ 19 กันยายน นายเอ็มโทรศัพท์โทรหาพ่อโดยบอกกับพ่อว่าไปฆ่าลูกของตัวเองมาและสำนึกผิดไม่รู้จะทำอย่างไรพ่อจึงให้คำแนะนำว่าให้ไปรับกรรมก็ไปพบตำรวจและมอบตัว
“โดยพ่อได้สอบถามว่าทำไมถึงได้ฆ่าลูกของตัวเอง นายเอ็มบอกว่า ไม่ชอบเสียงเด็กร้องเมื่อได้ยินเสียงเด็กร้องก็จะมีอาการไม่พอใจจึงลงมือฆ่าลูกของตัวเอง น้องโมเดลอายุสองขวบ”
ซึ่งการสนทนาครั้งนี้ถือเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้บอกลูกชายให้ไปมอบตัวกับตำรวจและให้ไปชดใช้กรรมกับสิ่งที่ทำส่วนกรณีที่นางสาวเจษฎา อ้างว่านายเอ็มได้ฆ่าลูกอีก 4 คนเรื่องนี้พ่อของนายเอ็มไม่เชื่อว่านายเอ็มจะลงมือก่อเหตุและไม่รู้ว่าฝ่ายหญิงเป็นผู้ก่อเหตุเองหรือไม่
สำหรับพฤติกรรมตั้งแต่วัยเด็กนายเอ็มเป็นเด็กที่ร่าเริงปกติแต่พอเข้าวัยรุ่นก็เริ่มมีอาการชอบใช้ความรุนแรงมีการชกต่อยกับเพื่อนวัยรุ่นบ้างและพอเริ่มโตก็มีการทำร้ายร่างกายคนในบ้านหากไม่พอใจ
โดยครั้งล่าสุดก็ทำร้ายร่างกายพ่อจนทำให้นายเอ็มหนีออกจากบ้านหลังจากนั้นมาครอบครัวก็ไม่ติดต่อนายเอ็มอีกเลยจนกระทั่งมาทราบข่าว
จากนี้ก็ขอให้ตำรวจดำเนินการตามกฏหมาย และจะไม่ขอยื่นประกันตัวใดๆ ทั้งสิ้นส่วนเรื่องเด็กที่เสียชีวิตอีก 4 ศพนั้นก็อยากให้ตำรวจตรวจสอบให้ละเอียดว่าเป็นฝีมือของลูกชายตนหรือไม่
-------------
เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 20 ก.ย. 66 นายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือกัน จอมพลัง ที่ร่วมลงพื้นที่ตรวจสอบห้องพัก ซอยพหลโยธิน 48 แยก 11 แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กทม. ที่นายส่องศักดิ์ ผู้ต้องหาคดีฆ่าฝังดินโบกปูนลูกสาววัย 2 ขวบ ใช้ก่อเหตุ
นายกัน กล่าวว่า ตามที่มีหลักฐานว่า นายส่องศักดิ์เคยเข้ารักษาตัวด้วยอาการป่วยทางจิต แต่ตนเชื่อว่า การที่ผู้ต้องหาทำร้ายร่างกายเด็กจนเสียชีวิตและนำร่างลูกไปฝังที่จังหวัดกำแพงเพชร ก่อนฝังมีการห่อถุงพลาสติกถึง 3 ชั้น มีปูนโบกทับเรียบร้อย แบบนี้ไม่ใช่เรื่องของการเป็นโรคจิต หรือป่วยจิตเวช แต่เป็นการวางแผนฆ่าและทำลายหลักฐานอย่างเป็นขั้นตอน
ส่วนตัวเชื่อว่าแบบนี้มันเหลี่ยมจัด วางแผนมาอย่างรอบคอบ แล้วจะเอามาอ้างในชั้นศาลไม่ได้ พฤติกรรมที่กระทำผิดนั้น มีการวางแผนเป็นขั้นตอน ไม่ใช่คนพูดจาไม่รู้เรื่อง เดินเหม่อลอยเหมือนพวกมีอาการทางจิตประสาทที่พบเห็นทั่วไปแต่อย่างใด อีกทั้งหากจับไม่ได้ ไล่ไม่ทันก็จะไม่รับสารภาพ เพราะระหว่างที่นำตัวไปชี้จุดที่กำแพงเพชร ผู้ต้องหาเองก็ไม่ได้มีการเปิดปากรับสารภาพถึงลูกอีก 4 คนที่ได้ลงมือฆ่าจนเสียชีวิต ถือว่าเป็นคนที่จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต ฆ่าได้แม้กระทั่งลูกตัวเอง
--------------
แท็กที่เกี่ยวข้อง พ่อแม่อำมหิตฆ่าลูก ,พ่อแม่ฆ่าลูก