นิตยสาร เดอะ แลนเซ็ต เผยผลการวิจัยระบุว่า ภายในปี ค.ศ. 2100 นั้น โลกจะประสบกับภาวะประชากรโลกลดลงเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์

โดยรายงานระบุว่า ในปัจจุบันนั้น โลกมีประชากรอยู่ที่ 7.8 พันล้านคน และจะเพิ่มขึ้นจนแตะจุดสูงสุดที่ 9.7 พันล้านคน ก่อนที่จะลดลงมาอยู่ที่ 8.8 พันล้านคนภายในปี ค.ศ. 2100 ซึ่งจะเป็นครั้งแรกในรอบหลาย 100 ปี ที่ประชากรโลกลดลง

นาย สเตน มิล โวลล์เซต หนึ่งในทีมวิจัยกล่าวว่า ประชากรโลกที่ลดลงมีต้นเหตุมาจากปัญหาการเจริญพันธุ์ เช่น โรคระบาด และขาดสารอาหาร เมื่อย้อนกลับไปช่วงทศวรรษที่ 14 ได้เกิดการระบาดใหญ่ของโรคกาฬโรคในทวีปยุโรป เป็นเหตุให้ประชากรหลายร้อยล้านคนเสียชีวิต ซึ่งก็ถือว่าเป็นครั้งสุดท้ายที่จำนวนประชากรโลกมีการเปลี่ยนแปลง

ยิ่งไปกว่านั้นประชากรในอีก 23 ประเทศ ซึ่งรวมถึง ญี่ปุ่น ไทย อิตาลี สเปน โปรตุเกส และเกาหลีใต้ อาจมีประชากรลดลงไปกว่าเดิมอีก 50% แม้กระทั่งประเทศจีนที่มีประชากรเยอะที่สุดในโลก คิดเป็น 18 % ของจำนวนทั้งหมดก็อาจมีประชากรเหลือเพียงแค่ 732 ล้านคนเท่านั้น จากปัจจุบันที่ราว 1.4 พันล้านคน

โดยปัจจัยหลักๆ ที่ทำให้ประชากรน้อยลงนั้นก็คือการคุมกำเนิดที่ทันสมัย รวมไปถึงการที่ผู้หญิงได้รับการศึกษาและมีพื้นที่ในสังคมมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ศาสตราจารย์อิบราฮิม อาบูบาการ์ จากมหาวิทยาลัยคอลเลจ ลอนดอน กล่าวว่า การคาดคะเนที่เกิดขึ้นอาจมีความแม่นยำเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น เนื่องจากการอพยพถิ่นฐานและสภาพเศรษฐกิจในช่วงเวลานั้นๆด้วย