"เมอร์ค" เผย "โมลนูพิราเวียร์" มีประสิทธิภาพ รับมือ "โอไมครอน" ได้

สังคม

"เมอร์ค" เผย "โมลนูพิราเวียร์" มีประสิทธิภาพ รับมือ "โอไมครอน" ได้

โดย panisa_p

1 ธ.ค. 2564

265 views

บริษัท เมอร์ค แอนด์ โค แถลงเมื่อวานนี้ว่า ยาเม็ดต้านไวรัส "โมลนูพิราเวียร์" ที่บริษัทพัฒนาขึ้น คาดว่าจะมีประสิทธิภาพในการต้านโควิด-19 กลายพันธุ์ใหม่ "โอไมครอน" ตามกลไกของการรักษา และข้อมูลพันธุกรรมของเซลล์ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน


อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทเมอร์ค ยังไม่ได้มีการวิจัยเพื่อศึกษาแบบเฉพาะเจาะจง ถึงประสิทธิภาพของยาต้านไวรัสสายพันธุ์ "โอไมครอน" แต่ที่ผ่านมา ยาดังกล่าวสามารถที่จะรับมือกับเชื้อกลายพันธุ์ แกมม่า (gamma) เดลต้า (Delta) และ มิว (MU)


จากผลการศึกษาล่าสุด พบว่า ยาเม็ดโมลนูพิราเวียร์ สามารถลดความเสี่ยงในการรักษาตัวในโรงพยาบาล หรือการเสียชีวิตของผู้ที่มีอาการป่วยเล็กน้อยไปถึงปานกลางถึงร้อยละ 30


ทั้งนี้ เมอร์ค ได้ยื่นเรื่องขออนุมัติใช้ยาเม็ดต้านไวรัสนี้ต่อองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ หรือ เอฟดีเอ ไปเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งทางคณะกรรมาธิการเอฟดีเอได้ลงมติ 13 ต่อ 10 เห็นชอบให้ใช้ยาเม็ดในการรักษาโควิด-19 ในสหรัฐฯ แล้ว เช่นเดียวกับอังกฤษที่อนุมัติใช้ยาเม็ดนี้ไปเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา


ขณะที่ องค์การอนามัยโลก ได้ออกคำแนะนำการเดินทางใหม่ สำหรับผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และกลุ่มคนที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ มะเร็ง รวมทั้งเบาหวาน ที่ยังฉีดวัคซีนไม่ครบโดส ควรเลื่อนแผนการเดินทางไปต่างประเทศที่พบการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วงวันหยุดยาวที่จะถึงนี้ เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ และอาการป่วยรุนแรง ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของเชื้อกลายพันธุ์ "โอไมครอน" ในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก


ล่าสุด บราซิล ยืนยันผู้ติดเชื้อกลายพันธุ์ "โอไมครอน" 2 รายแรก ในประเทศ และในแถบลาตินอเมริกา เป็นสามีภรรยากัน ซึ่งอาศัยอยู่ในแอฟริกาใต้เป็นหลัก และเพิ่งได้เดินทางกลับมายังบราซิล ผ่านทางสนามบินนครเซาเปาโล เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งผลการตรวจเชื้อเป็นลบ แต่ทั้งสองคนเกิดมีอาการป่วยเล็กน้อย จึงเข้ารับการตรวจซ้ำอีกครั้ง เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน ปรากฏว่า พบว่าติดเชื้อกลายพันธุ์ "โอไมครอน"


ทั้งนี้ บราซิลเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างรุนแรง ทำให้มีผู้ติดเชื้อสะสม กว่า 22 ล้านคน มากที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากอินเดีย และ สหรัฐฯ

คุณอาจสนใจ

Related News