สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า อิสราเอลสั่งห้ามการเข้าประเทศของชาวต่างชาติทั้งหมด ทำให้เป็นประเทศแรกที่ปิดพรมแดนโดยสมบูรณ์ เพื่อตอบสนองต่อสายพันธุ์ใหม่ ขณะที่ออสเตรเลียสั่งปิดพรมแดนไม่ทัน พบผู้ติดเชื้อโอไมครอน เข้าประเทศมาแล้ว 2 คน

นายกรัฐมนตรีนาฟตาลี เบนเน็ตต์ แห่งอิสราเอล ออกแถลงการณ์ว่าคำสั่งห้ามดังกล่าว ซึ่งอยู่ระหว่างรอการอนุมัติจากรัฐบาล โดยคำสั่งนี้จะมีอายุ 14 วันโดยหวังว่าภายในระยะเวลาดังกล่าว จะมีข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีนป้องกันโควิด-19 โอไมครอนมากขึ้น

นายเบนเน็ตต์ ระบุว่า การทำงานของรัฐบาลอิสราเอลอยู่บนสมมุติฐานว่า ไวรัสสายพันธุ์โอไมครอน นั้นแพร่ระบาดในทุกประเทศแล้ว และสำหรับชาวอิสราเอลเอง ที่จะเดินทางเข้าประเทศ แม้ว่าจะได้รับการฉีดวัคซีนแล้วจะต้องเข้ารับการกักตัวด้วย

โดยมาตรการดังกล่าว จะมีผลบังคับใช้ในช่วงเที่ยงคืนของวันที่ 28 พฤศจิกายน เชื่อมต่อกับเช้าวันที่ 29 พฤศจิกายน ส่วนมาตรการห้ามชาวต่างชาติ ที่มาจากประเทศในทวีปแอฟริกาส่วนใหญ่นั้น มีการบังคับใช้ไปแล้วเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

จนถึงตอนนี้ อิสราเอลได้ยืนยันเคสโอไมครอนหนึ่งราย และมีผู้ต้องสงสัยอีก 7 คน ผู้ต้องสงสัย 3 ใน 7 รายได้รับการฉีดวัคซีนครบแล้ว และอีก 3 รายยังไม่กลับจากการเดินทางไปต่างประเทศเมื่อเร็วๆ นี้

ขณะเดียวกัน ทางการออสเตรเลียยืนยัน พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนในประเทศ 2 คน โดยเดินทางมาจากแอฟริกาในวันเดียวกับที่ออสเตรเลียประกาศงดรับเที่ยวบินจากแอฟริกานั่นเอง

ทั้ง 2 คน เป็นผู้โดยสาร ที่เดินทางมายังนครซิดนีย์ จากประเทศทางตอนใต้ของทวีปแอฟริกา เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ซึ่ง ทั้ง 2 คน ได้รับคซีนครบ 2 โดสแล้ว เดินทางมาด้วยสายการบิน กาตาร์ แอร์เวย์ส ต่อเครื่องที่กรุงโดฮา ประเทศกาตาร์ โดยถูกตรวจพบว่าติดเชื้อโควิด-19 ไม่นานหลังจากเครื่องลงจอดที่นครซิดนีย์ แต่ไม่แสดงอาการป่วยใดๆ และถูกแยกเดี่ยวในสถานที่ที่จัดเตรียมไว้ทันที

ทั้งนี้ เครื่องบินดังกล่าวเดินทางถึงนครซิดนีย์ วันเดียวกับที่ทางการออสเตรเลีย ประกาศว่าพวกเขาจะงดรับเที่ยวบินจาก 9 ประเทศในตอนใต้ของแอฟริกา รวมถึงแอฟริกาใต้และซิบบับเว