สังคม

สาวร้อง ถูกฤๅษีหญิงตนแรกของไทย ตุ๋นเงิน-ทองจนหมดตัว ทวงมาหลายปีไม่มีวี่แววได้คืน

โดย panisa_p

7 ก.ค. 2565

181 views

เมื่อเวลา 11.00 น.วันที่ 7 กรกฎาคม 2565 นางสาวกนกพร อายุ 29 ปี นำเอกสารที่เตรียมใช้เป็นหลักฐานที่จะเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ มาแสดงให้สื่อมวลชนดู ซึ่งเป็นเอกสารเกี่ยวกับสลิปการโอนเงิน ซึ่งนางสาวกนกพร โอนเข้าบัญชีธนาคารกสิกรไทย และเอกสารการแชตผ่านไลน์ระหว่างนาวงสาวกนกพรกับหญิงรายหนึ่ง ชื่อ แม่ผ่อง


นางสาวกนกพร เปิดเผยถึงการออกมาเผยแพร่ออกเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับผู้หญิงชื่อผ่องว่า เนื่องจากช่วงเรียนมหาวิทยาลัยนั้น เรียนที่จังหวัดมหาสารคาม มีญาติพาไปทำบุญที่วัดป่าแห่งหนึ่งในจังหวัดกาฬสินธุ์ จึงได้รู้จักกับแม่ผ่อง แต่ขณะนั้นไม่ได้ติดต่อกัน กระทั่งเรียนจบ และปลายปี 2562 เป็นช่วงที่พ่อแม่ขายบ้านหลังเดิม และกำลังสร้างบ้าน จึงโอนเงินที่ขายบ้านได้มาเข้าบัญชีตนเองเอาไว้ใช้จ่ายค่าจ้างที่กำลังสร้างบ้านหลังใหม่


ส่วนตัวเองหลังเรียนจบ อยากหาที่สงบ ทำสมาธิ เพื่อจะได้มีสติออกหางานทำ จึงเดินทางไปที่ สถานปฏิบัติธรรม ซึ่งอยู่ในพื้นที่บ้านโนนทองต.ดอนหว่าน อ.เมือง จ.มหาสารคาม จึงได้พบกับแม่ผ่อง ซึ่งเป็นเจ้าของสำนักปฏิบัติธรรมดังกล่าวและปฏิบัติตนเป็นฤๅษี มีลูกศิษย์จำนวนมาก


ซึ่งต่างก็เรียกแม่ผ่องว่า แม่ย่า ย่าฤๅษี มักจะบอกกับลูกศิษย์ว่า ตนเป็นผู้หญิงที่สละชีวิตเป็นนักบวช ซึ่งก่อนที่จะประสบช่วงโควิดระบาดนั้น จะมีลูกศิษย์ทั้งชาวไทยและต่างชาติมาหาฤๅษีจำนวนมาก เพื่อสักยันต์มงคลต่าง ๆ ทั้งยันต์ห้าแถว สาลิกาลิ้นทอง ลงนะหน้าทอง


นางสาวกนกพร กล่าวอีกว่า ขณะอยู่ที่สำนักปฏิบัติธรรม ฤๅษีมักจะบอกว่า ตนมีหน้าตาคล้ายกับฤๅษี คงเป็นบุญแต่ชาติปางก่อน จึงทำให้ได้เจอกัน ได้อยู่ด้วยกัน ฤๅษีจึงรับเป็นลูกรัก และช่วยงานในสำนักปฏิบัติธรรมเรื่อยมา ช่วงปลายปีฤๅษีชวนให้ขับรถพาไปทำธุระข้างนอก จึงขับรถให้ และไปจอดริมถนนหน้าศาลเจ้าพ่อหลักเมืองมหาสารคาม


จากนั้นฤๅษีก็คุยโทรศัพท์กับใครไม่รู้ โดยเรียกว่าเจ้านาย ๆ ได้ยินเพียงว่าคุยกันเรื่องซื้อขายหอพัก และคุยเรื่องบัญชีกับสรรพากร ประมาณ 1 ชั่วโมง ฤๅษีจึงถามว่า มีเงินในบัญชีไหม มีเท่าไร จะยืมหมุนในบัญชีให้สรรพากรดู เพื่อจะเดินเรื่องซื้อขายหอพัก ไม่เกิน 3 วันจะคืนให้ จึงให้ฤๅษียืมเงินครั้งแรกจำนวน 12,000 บาท ผ่านไป 3 วัน เงินก็ยังไม่ได้คืน แล้วก็ยังยืมต่ออีก


โดยบอกว่า เจ้านายอยู่ต่างงประเทศกำลังเดินทางกลับมาคุยเรื่องธุรกิจที่ประเทศไทย เจ้านายมาถึงก็คืนเงินให้ จึงให้ยืมเงินไปอีกหลายครั้ง และบางครั้งบอกว่า เจ้านายมาแล้ว แต่ถูกยึดรถยนต์ ต้องเอาเงินไปประกันเอาตัวเจ้านายออกมาต้องใช้เงินเป็นแสน ก็ให้ยืมอีก 100,000 บาท จากนั้นก็มาบอกอีกว่า ต้องหาเงินอีกห้าหมื่นไถ่รถออกมาให้เจ้านาย ก็ให้ยืมไปอีก 50,000 บาท แต่ยังไม่ได้รถเพราะเงินไม่พอจ่าย ฤๅษีก็ขอเอาทองที่ตนสวมใส่อยู่ไปขายได้เงินมา 54,700 บาท ฤๅษีก็เอาไปทั้งหมด


ในปี 2563 ฤๅษียืมเงินไปประมาณ 20 ครั้ง รวมเป็นเงิน 480,000บาท ขายทองอีก 54,700 บาท ฤๅษีคืนเงินมา 40,000 บาท แล้วยังมาขอยืมคืน แต่ตนไม่ให้ เพราะต้องเอาเงินมาจ่ายค่าสร้างบ้านให้พ่อแม่ อีกทั้งทองก็หมดแล้ว เงินของพ่อแม่ที่เอาไว้สร้างบ้านและเก็บในบัญชีก็หมด ตัวเองก็ไม่สบาย ต้องนอนในรพ.


และปลายปี 2563 จึงตัดสินใจออกจากสำนักปฏิบัติธรรมของฤๅษี โดยก่อนออกมาได้คุยเรื่องเงินที่ฤๅษีในเรื่องเงินที่ยืมไป ซึ่งเมื่อหักลบกันแล้วเหลือเงินที่ฤๅษียังค้างอยู่จำนวน 370,000 บาท บวกกับที่เอาทองไปขายอีก 54,700 บาท ซึ่งฤๅษีก็รับปากว่าจะใช้คืนให้ทั้งหมด จากนั้นตัวเองก็กลับมาบอกความจริงกับพ่อแม่ ซึ่งพ่อแม่ก็บอกว่า จะปรึกษาญาติที่เป็นทนายความ และรวบรวมเอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อนำเป็นหลักฐานเข้าแจ้งความกับตำรวจสภ.เมืองมหาสารคาม ให้ทำการเรียกตัวฤๅษีมาพูดคุย และให้นำเงินที่คงค้างมาคืนทั้งหมด


นางสาวกนกพร กล่าวต่ออีกว่า ที่ผ่านมา มีการทวงถามทุกวัน แต่ฤๅษีไม่อ่านไลน์ ไม่ตอบ เมื่อตอบก็พูดจาไม่ดี ระยะหลังโยนให้ไปคุยกับน้องชาย ที่เป็นอดีต สท. ซึ่งในครั้งแรกน้องชายไม่ขอรับรู้ ให้ฝ่ายตัวเองกับฤๅษีคุยกันเอง แต่ต่อมาน้องชายฤๅษีพูดจาไม่ดี และว่าให้ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ซึ่งเมื่อถูกฝ่ายฤๅษีกดดันและไม่สามารถพูดคุยกันดีดีได้ จึงต้องพึ่งกฎหมาย โดยให้ตำรวจดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย และฝ่ายฤๅษีต้องนำเงินมาคืนให้ครบทุกบาทด้วย

คุณอาจสนใจ

Related News