ผบ.ตร.สั่งฟันโทษสูงสุด ตำรวจตม.เชียงราย เอี่ยวแก๊งยานรก พร้อมประสานเมียนมา ล่าผตห.ที่ยังหนี

ตำรวจประจำด่านตรวจคนเข้าเมือง จังหวัดเชียงราย ถูกตรวจสอบพบว่ามีส่วนเกี่ยวพันด้านผลประโยชน์ กับเครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่ ล่าสุดถูกสั่งให้ออกจากราชการ และดำเนินคดีฐานสมคบกันกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ขณะผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เดินหน้าประสานประเทศเมียนมา ทั้งเพื่อสกัดกั้น การส่งออกสารตั้งต้นผลิตยาเสพติด และติดตามผู้ต้องหาตามหมายจับที่หลบหนีไปอาศัยในประเทศเพื่อนบ้าน



พลตำรวจเอก ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยืนยันว่านายตำรวจยศร้อยตำรวจตรีคนดังกล่าว ถูกสืบสวนขยายผลจนพบว่า เขาเกี่ยวข้องกับเครือข่าย ค้ายาเสพติดในเครือข่ายนางสาวดนิดา ทรายหล้า ซึ่งถูกจับพร้อมยาบ้า 20,200 เม็ด เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา



กรณีนี้ พลตำรวจเอก ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมเจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. เข้าค้นหาหลักฐานที่บ้านพักตำรวจนายนี้แล้ว และเส้นทางการเงินของเครือข่ายยาเสพติด พัวพันกับนายตำรวจคนนี้ ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เตรียมดำเนินคดีฐานสมคบกันกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และจะเสนอให้ออกจากราชการไว้ก่อน



วันนี้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยังแถลงผลการกวาดล้างอาชญากรรม ปืนเถื่อน และสิ่งผิดกฎหมายในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 5 จำนวน 8 จังหวัด ระหว่างวันที่ 10-29 ตุลาคมที่ผ่านมา จับผู้ต้องหาคดียาเสพติด 2027 จากทั้งหมด 2235 ยาบ้ากว่า 1 ล้าน 6 หมื่นเม็ด ไอซ์ เฮโรอีน และเคตามีนอีกจำนวนหนึ่ง ทั้งหมดนำ เข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน



และวันที่ 28 ที่ผ่านมา พลตำรวจเอกชินภัทร สารสิน ผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ นำคณะไปพบผู้บัญชาการ สำนักปราบ ปรามยาเสพติดประเทศเมียนมาและคณะ ที่เมืองย่างกุ้ง เพื่อหารือ 2 ประเด็นหลักคือการสกัดสารตั้งต้นยาเสพติดหลายชนิด เช่นโซเดียมไซยาไนด์ ที่ถูกส่งออกไปเมียนมา อำพรางว่า ใช้ในอุตสาหกรรมเหมืองแร่ทองคำ ซึ่งทางการเมียนมา ระบุว่าจะดำเนินการป้องกันการนำเคมีภัณฑ์ไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ โดยจะแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน



ส่วนประเด็นหารือที่ 2 คือการตามจับผู้ต้องหาคดียาเสพติดจากไทย ที่หนีไปเมียนมา ซึ่งทางการเมียนมาระบุว่าพร้อมจะส่งตัวให้ขอเพียงส่งข้อมูล ตำหนิ รูปพรรณให้ และหากคนดังกล่าวทำผิดกฎหมายเมียนมาด้วย ก็ต้องถูกดำเนินที่เมียนมาก่อน ขณะเดียวกันก็พบอุปสรรคบ้าง ในกรณีที่ผู้ต้องหาหลบหนีไป อยู่กับชนกลุ่มน้อย ตามแนวชายแดน