ตร.ไทย-กัมพูชา ร่วมบุกจับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พบเกือบ 30 ราย เป็นคนไทย สมัครใจมาทำงาน

ตำรวจศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สำนักงานตำรวจแห่งชาติหรือ ตำรวจ PCT ยังคงติดตามจับกุมแก๊งคอลเซนเตอร์ในประเทศกัมพูชา ล่าสุดได้ประสานกับตำรวจกัมพูชา บุกเข้าจับกุมแก๊งคอลเซนเตอร์จำนวน 74 หมายจับ พบมีคนไทยยังไปทำงานโทรศัพท์มาหลอกคนไทยจำนวนมาก ทั้งหมดจำนนต่อหลักฐาน ยอมรับว่าลักลอบข้ามไปทำงานเป็นแก๊งคอลเซนเตอร์จริง และคาดไม่ถึงว่าตำรวจยังคงติดตามจับอย่างต่อเนื่อง



ตำรวจ PCT ชุดปฏิบัติการที่ 5 ร่วมกับตำรวจกัมพูชา สืบค้นหาอาคาร ซึ่งเป็นที่ตั้งของแก๊งคอลเซนเตอร์ ในเมืองพระสีหนุ หลังจากแก๊งคอลเซนเตอร์ มักย้ายสถานที่ไปเรื่อยๆ เมื่อตรวจสอบพบว่าตั้งอยู่ภายในอาคารสูง ภายนอกมีรั้วกั้น จึงได้สนธิกำลังระหว่าง ตำรวจไทยและตำรวจกัมพูชาเปิดปฏิบัติการตรวจค้นออฟฟิเศแก๊งคอลเซนเตอร์ 2 แห่ง แห่งแรกเป็นโรงแรม และจุดที่สองเป็นบ่อนคาสิโน จากการตรวจค้น ภายในออฟฟิศ พบคนไทย ทั้งชายและหญิง ทำงานเป็นแก๊งคอลเซนเตอร์จำนวนมาก



พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในฐานะ ผอ.ศูนย์PCT ระบุว่า ได้สั่งการให้ชุด PCT ที่ 5 นำโดยพล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ หัวหน้าชุด สืบสวนคดีอย่างต่อเนื่อง ร่วมกับชุดปฏิบัติการ PCT 1 โดยประสานงานกับพล.ต.ท.วันวีระ ผู้ช่วยผบ.ตร.กัมพูชา ซึ่งเมื่อได้ประสานงานกันทางการกัมพูชาก็ให้ความร่วมมือเพราะเห็นความเดือดร้อนของเหยื่อที่บางคนคิดสั้นฆ่าตัวตาย โดยกลุ่มนายทุนชาวจีนยังคงใช้กัมพูชาเป็นฐาน



แม้จะมีการประสาน กสทช.ให้การตรวจสอบการใช้โทรศัพท์ผ่านเน็ท และบุคคลที่เป็นบัญชีม้า หากสมัครEbanking ต้องไปยืนยันตัวตนที่ธนาคาร แต่แก๊งคอลเซนเตอร์ ก็ยังสร้างโปรไฟล์ หาวิธีการรูปแบบต่างๆมาหลอกลวง ซึ่งปฏิบัติการครั้งนี้ มีทั้งหมด 74 หมายจับ พบผู้ต้องหาตามหมายจับทั้งหมด 28 คน มีทั้งแอปหาคู่หลอกให้รักแล้วชักชวนให้ร่วมลงทุน และแอบอ้างเป็นตำรวจ สภ.เมืองอุดรธานี พัสดุไปรณีย์ ผิดกฎหมาย



ทั้งหมดถูกตั้งข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชน แสดงตนเป็นบุคคลอื่น ร่วมกันเป็นอั้งยี่ ซ่องโจร มีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ และร่วมกันฟอกเงิน จากการอสบสวนเบื้องต้นผู้ต้องหาให้การสารภาพว่า โดยตำรวจกัมพูชาได้ควบคุมตัวไปดำเนินคดีตามกฎหมายกัมพูชาก่อน หากเสร็จสิ้นกระบวนการจะส่งตัวกลับประเทศไทย เพื่อดำเนินคดี