เปิดพฤติกรรม 5 พรานใจโหด ล่าชำแหละเสือโคร่งแบบมืออาชีพ จนท.คาดรับออเดอร์จากนายทุน

สังคม

เปิดพฤติกรรม 5 พรานใจโหด ล่าชำแหละเสือโคร่งแบบมืออาชีพ จนท.คาดรับออเดอร์จากนายทุน

โดย pattraporn_a

13 ม.ค. 2565

68 views

กลุ่มพรานป่าล่าชำแหละเสือโคร่งในเขตอุทยานฯ ทองผาภูมิ เข้ามอบตัวแล้ว 4 ราย ตำรวจเตรียมออกหมายจับอีก 1 ที่ยังหลบหนี


ความคืบหน้ากรณีเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ เข้าไปลาดตระเวนและพบกลุ่มพรานป่า 5 คน ตั้งแคมป์ทำการลักลอบชำแหละซากเสือโคร่ง 2 ตัวที่กลางป่าห้วยปิล๊อก ใกล้เขตชายแดนไทย-พม่า ซึ่งระหว่างนั้นกลุ่มพรานป่าไหวตัวทันวิ่งหลบหนีไปได้อย่างหวุดหวิด ทิ้งซากเสือโคร่ง พร้อมอาวุธปืน 4 กระบอกไว้ในที่เกิดเหตุ


จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่พบว่ามีการนำวัวมาเป็นเหยื่อล่อเสือโคร่ง แล้วใช้อาวุธปืนซุ่มยิง ก่อนจะนำมาแร่เนื้อถลกเอาหนัง ส่วนบนแคร่พบมีการย่างเนื้อจำนวนมาก ขณะที่ หลังเกิดเหตุได้มีสายโทรศัพท์ติดต่อเข้ามาหาเจ้าหน้าที่อุทยานฯ เพื่อขอคืนปืนลูกซอง โดยแจ้งว่าเป็นปืนของเจ้าหน้าที่ อปพร.


ล่าสุดเจ้าหน้าที่ได้นำซากเสือโคร่งทั้ง 2 ตัว รวมทั้งชิ้นเนื้อเสือโคร่งที่ถูกหั่นออกเป็นชิ้นๆ ลักษณะคล้ายเนื้อแดดเดียว และของกลางทั้งหมดมาไว้ที่ที่ทำการอุทยานแห่งชาติทางผาภูมิ เพื่อให้เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานตำรวจภูธร จ.กาญจนบุรี ทำการถ่ายภาพพร้อมเก็บตัวอย่างเพื่อนำไปตรวจ DNA เพื่อใช้เป็นลหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์กระทั่งช่วงเที่ยง พ.ต.อ.สันติ พิทักษ์สกุล ผกก.สภ.ทองผาภูมิ ได้นำรถตู้เดินทางไปรับตัวผู้ต้องหาจำนวน 4 คน ที่ อ.ทองผาภูมิ


ประกอบด้วย นายกูกือ ยินดี อายุ 37 ปี ถือบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย (บุคคลบนพื้นที่สูง บัตรสีชมพู) นายจอแห่ พนารักษ์ อายุ 38 ปี ถือบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย (บุคคลบนพื้นที่สูง บัตรสีชมพู) นายศุภชัย เจริญทรัพย์ อายุ 34 ปี และนายรัชชานนท์ เจริญทรัพย์ อายุ 30 ปี ทั้ง 2 เป็นพี่น้องกัน


เบื้องต้นผู้ต้องหาให้การว่า มีอาชีพเลี้ยงวัว โดยเมื่อประมาณ 2 เดือนที่ผ่านมานั้น วัวของชาวบ้านและของพวกตน ถูกเสือโคร่งมากินและกัดตายไปร่วม 20 ตัว พวกตนไม่รู้จะทำอย่างไร จึงนำซากวัวที่ถูกเสือกัดตายมาเป็นเหยื่อล่อเสือออกมา ส่วนอาวุธปืนที่ใช้ยิงเสือเป็นอาวุธปืนแก็ป ขณะที่อาวุธปืนลูกซอง 5 นัด ได้ยืมมาจากเจ้าหน้าที่ อปพร.เพื่อนำมาป้องกันตัวเท่านั้น โดยเจ้าหน้าที่ อปพร. ซึ่งเป็นเจ้าของปืนคนดังกล่าว ไม่ได้มีส่วนร่วมในการเข้าไปล่าเสือโคร่งแต่อย่างใด


ส่วนผู้ต้องหาอีกราย เจ้าหน้าที่ได้ขอศาลอนุมัติออกหมายจับ หลังจากหลบหนีการจับกุม


ทั้งนี้ ในมุมกฎหมายความผิดของกลุ่มที่ล่าเสือโคร่ง ซึ่งเป็นสัตว์ป่าอนุรักษ์ที่ได้รับความคุ้มครองชนิดใกล้สูญพันธุ์ จะถูกดำเนินคดีและโทษเช่นเดียวกับคดีเสือดำ ที่ถูกล่าบริเวณเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร จากนายเปรมชัย กรรณสูตพร้อมพวก และปิดคดีเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว


ย้อนดูพฤติกรรมของกลุ่มพรานทั้ง 5 คน ที่ตั้งแคมป์ในป่าลึก บริเวณป่าห้วยปิล๊อก หมู่ 4 ต.ปิล๊อก อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ของอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ และป่าสงวนแห่งชาติเขาช้างเผือก ห่างจากชายแดนไทย-พม่า 3 กิโลเมตร ช่วงวันที่ 8-11 มกราคมที่ผ่านมา


สำหรับวิธีล่า ได้ใช้กลอุบายนำซากวัวน้ำหนักราว 50 กิโลกรัม ผูกคอติดกับต้นไม้ใหญ่ มาเป็นเหยื่อล่อเสือโคร่งออกมากิน โดยเข้าป่าก่อน 2 วัน จากนั้นใช้ปืนซุ่มยิงเสือโคร่งทั้ง 2 ตัวจนเสียชีวิต ก่อนจะนำมาแล่เนื้อแยกเป็นชิ้นๆนำมาย่างไฟ ถลกเอาหนัง แยกกระดูก


เมื่อเจ้าหน้าที่ลาดตระเวณกำลังจะเข้าจับกุม สุนัขนำทางส่งเสียงร้องเห่าขึ้นก่อน ทำให้กลุ่มนายพรานเกิดไหวตัวทัน วิ่งหลบหนีไปได้อย่างหวุดหวิด ทิ้งของกลางไว้จำนวนมาก ทั้ง ปืนยาวลูกซอง ปืนแก๊ป พร้อมกระสุนจำนวนหนึ่ง และอุปกรณ์ดำรงชีพในป่า


และห่างจากที่ตั้งแคมป์ที่พักไปประมาณ 20 เมตร ก็พบของกลาง เจ้าหน้าที่ต้องตะลึง พบหนังเสือโคร่งเพศผู้ ยาวกว่า 2 เมตร น้ำหนัก 80 กิโลกรัม ผูกตรึงกับไม้ และยังพบ ชิ้นเนื้อเสือโคร่งที่ถูกหั่นออกเป็นชิ้นๆ ลักษณะคล้ายกับเนื้อแดดเดียว รมควันย่างไฟอยู่บนแคร่ ไม่ห่างกันก็พบหนังเสือโคร่งเพศเมีย ยาว 2 เมตร อีก 1 ผืน พาดตากอยู่บนกิ่งไม้


ก่อนนำของกลางทั้งหมด ส่งให้เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน ตำรวจภูธรจังหวัดกาญจนบุรีเก็บตัวอย่าง เพื่อนำไปตรวจ DNA เพื่อใช้เป็นหลักฐานทางด้านนิติวิทยาศาสตร์ จับกุมกลุ่มพรานโหด


ทั้งนี้ หลังเกิดเหตุมีสายโทรศัพท์ ทราบชื่อจากหมายเลขโทรศัพท์ ชื่อ นายป้อม ทองผาประวิตร ติดต่อเข้ามาหาเจ้าหน้าที่อุทยานฯ เพื่อขอคืนปืนลูกซอง 5 นัด ยี่ห้อวินเชสเตอร์ โดยแจ้งว่าเป็นปืนของนายบุญถิ่น จันทร์เขต เจ้าหน้าที่ อปพร. ซึ่งได้ให้ตำรวจตรวจสอบข้อเท็จจริง แกะรอยคนร้ายต่อไปด้วย


จากการตรวจสอบเจ้าหน้าที่ สันนิษฐานว่า กลุ่มพรานทั้ง 5 คน ได้รับออเดอร์สั่งซากเสือโคร่งจากนายทุน


นายนิพนธ์ จำนงสิริศักดิ์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง) บอกถึงความผิดของผู้ก่อเหตุลักลอบล่า ชำแหละซากเสือโคร่ง มีความผิดเหมือนกับคดีล่าเสือดำของนายเปรมชัย กรรณสูต อดีตผู้บริหารบริษัทอิตาเลียนไทยดิเวล๊อปเมนต์ โดยขณะนั้นนายเปรมชัย ถูกดำเนินคดีในกฎหมายเก่า เหตุเกิดเมื่อวันที่ 4 ก.พ.2561 ก่อนมาแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ทันยุคสมัยขึ้น


ในคดีล่าเสือดำ นายเปรมชัย ถูกดำเนินคดี ตาม พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า ปี 2535 (เดิม) ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 5 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่ง ศาลฎีกาตัดสิน ให้นายเปรมชัยจำคุก 2 ปี 14 เดือน โดยไม่รอลงอาญา ชดเชยค่าเสียหาย 2 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี 


ส่วนคดีล่าเสือโคร่งของ 5 นายพราน ล่าสุดนี้ จะถูกดำนินคดี ตามพ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า ปี 2562 (แก้ไขเปลี่ยนแปลงปี 35 ) มีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ


ทั้งนี้ ทีมข่าวสอบถามข้อมูลจากนายเอ็ดวิน วีค เลขาธิการมูลนิธิเพื่อนสัตว์ป่า เปิดเผยว่า เสือโคร่งที่ถูกล่าในป่าแก่งกระจาน 2 ตัวนี้ เป็นออเดอร์ที่ถูกสั่งมาอย่างแน่นอน เพราะหนังสือที่ถูกชำแหละนั้น มีการเลาะ เฉือน ออกมาอย่างดี มีลักษณะ เป็นแผ่นเดียว ไร้ร่องรอยการฉีกขาดทำให้มีราคาสูง


สำหรับข้อมูลชิ้นส่วนของเสือโคร่ง หากถูกนำไปขายในตลาดมืดนั้น , หนังเสือ ราคา 140,000 – 150,000 บาท , กระดูกเสือ 140,000 – 150,000 บาท , อวัยวะเพศเสือเพศผู้ 5 – 6 หมื่นบาท , เขี้ยวเสือ (ต่อเขี้ยว) 5-6 พันบาท  ปัจจุบันเสือโคร่งในไทยมีประมาณ 170 – 180 ตัว ถูกล่าครั้งนี้ไป 2 ตัว คิดเป็นปริมาณ มากกว่า 1 % ไปแล้ว  จากข้อมูลพบว่ามีประเทศที่รับซื้อเสือได้แก่ ลาว , จีน และ เวียดนาม


สอดคล้องข้อมูล ของนายสมปอง ทองสีเข้ม ผู้อำนวยการสำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ที่เปิดเผยว่า เนื้อเสือที่ถูกแล่ และทำเป็นเนื้อแดดเดียว มีราคาสูงถึงตัวละ 1 แสนบาท เพราะมักจะถูกนำไปใช้ทำยาจีน


ชมผ่านยูทูบ :      https://youtu.be/qfvC3QVs10Y

คุณอาจสนใจ