สถานการณ์การประท้วงก่อเหตุวุ่นวายในหลายเมืองของเนเธอร์แลนด์ ยังคงดำเนินต่อไปเป็นคืนที่ 3 ติดต่อกันแล้ว เนื่องจากประชาชนส่วนหนึ่งไม่ต้องการมาตรการล็อกดาวน์ครั้งล่าสุด ที่รัฐเพิ่งประกาศใช้ครั้งใหม่เมื่อสัปดาห์ก่อน

โดยรายงานระบุว่า กลุ่มผู้ประท้วงได้ก่อเหตุรุนแรง สร้างความวุ่นวายในหลายเมืองเชนที่เมือง ลียูวาร์เดน และเมืองโกรนิงเกน รวมไปถึงที่เมือง เอสชีด และทิลบูร์ก

มีการทำลายกระจกร้านค้า และทรัพย์สินของทางราชการ เช่นป้ายรถเมล์ ขณะที่ตำรวจต้องออกลาดตระเวนคุมเข้มสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ สถานการณ์การประท้วงไม่เอามาตรการล็อกดาวน์ในเนเธอร์แลนด์ ระอุขึ้นมาตั้งแต่เมื่อวันศุกร์ ซึ่งมีการใช้กระสุนจริงยิงใส่ผู้ประท้วงจนทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนหนึ่ง

ขณะเดียวกันที่กรุงบรัสเซลส์ ของเบลเยี่ยม ก็มีประชาชนออกมาประท้วง ต่อต้านมาตรการเข้มงวดของทางการเพื่อควบคุมการระบาดของโควิด-19 เช่นกัน โดยมีผู้ประท้วงออกมารวมตัวกันถึง 35,000 คน เมื่อวันอาทิตย์

ผู้ประท้วงได้เกิดการเผชิญหน้ากับตำรวจ มีการปาสิ่งของ ดอกไม้ไฟ และระเบิดควัน ใส่ตำรวจอย่างหนัก ขณะที่เจ้าหน้าที่ก็ต้องยิงรถน้ำเพื่อสลายการชุมนุม โชคดีที่ไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต

ส่วนที่เยอรมนี ซึ่งการระบาดของโควิด-19 เริ่มกลับมาทวีความรุนแรง ล่าสุด รัฐสภาบุนเดสทาร์ค ได้ผ่านร่างกฎหมายเพื่อใช้มาตรการที่เข้มข้นขึ้นเพื่อควบคุมการระบาดของโรค

โดยภายใต้ร่างกฎหมายใหม่นี้ จะบังคับให้ประชาชต้องแสดงเอกสารการตรวจโควิดเป็นลบ ก่อนที่จะเข้าใช้ระบบขนส่งสาธารณะ เข้าทำงาน และเข้าใช้บริการสถานที่สาธารณะอื่นๆ เป็นต้น

นอกจากนั้น รัฐบาลยังจะขยายระยะเวลาการให้เงินช่วยเหลือกับประชาชน และบริษัทที่ได้รับผลกระทบจากการใช้มาตรการต่างๆต่อไปอีก 3 เดือน จนถึงเดือนมีนาคม 2022 ด้วย