ศบค.ชุดใหญ่ มีมติขยาย พรก.ฉุกเฉิน 2 เดือน และผ่อนคลายมาตรการอีก 9 กิจการ/กิจกรรม รวมทั้งลดเวลาเคอร์ฟิว

วันนี้ (27 ก.ย.) ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ 10,288 คน ขณะที่ยอดผู้หายป่วยกลับบ้าน 12,494 คน มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 101 คน ตัวเลขที่ผู้หายป่วยกลับบ้านมากกว่าผู้ป่วยรายวัน ในช่วงที่ผ่านมา คือเหตุผลส่วนหนึ่ง ที่ ศบค.ชุดใหญ่ นำไปประกอบการพิจารณา จนได้ข้อสรุปให้มีการผ่อนคลายมาตรการต่างๆ และได้ประกาศลดเวลาเคอร์ฟิวลงด้วย

นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงผลการประชุม ศบค.ชุดใหญ่ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรี เป็นประธานประชุมผ่านระบบวีดีโอคอนเฟอเรนซ์ โดยข้อสรุปที่สำคัญ ยังคงพื้นที่สถานการณ์ตามโซนสีเดิม นั่นหมายความว่า พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด หรือ สีแดงเข้มนั้น ก็จะเป็น 29 จังหวัดเหมือนเดิม

ขณะเดียวกันที่ประชุม ได้เห็นชอบ ขยาย พ.ร.ก.ฉุกเฉินต่อไปอีก 2 เดือน จะมีผลตั้งแต่ 1 ตุลาคมไปจนถึง 30 พฤศจิกายน เพื่อรอระหว่างขั้นตอน ร่างแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.โรคติดต่อ จะมีผลบังคับใช้

ส่วนมาตรการที่ผ่อนคลาย เริ่มจาก การประกาศเคอร์ฟิว ยังคงอยู่ แต่ลดจากเดิม 21.00-04.00 น. มาเป็น 22.00-04.00 น. ต่อเนื่องไปอีกอย่างน้อย 15 วัน ขณะที่ ห้างสรรพสินค้า ได้เห็นชอบ ขยายเวลาปิดจากเดิม 20.00 น. เป็น 21.00 น.

นอกจากนี้ ศบค.ยังเห็นชอบคลายล็อกใน 9 กิจการ/กิจกรรม ที่น่าสนใจ อาทิ สามารถเล่นดนตรีในร้านอาหารได้แล้ว ภายใต้มาตรการที่กำหนด เช่น จำกัดนักดนตรีไม่เกิน 5 คน / นักดนตรีต้องสวมหน้ากากตลอดเวลา ยกเว้นนักร้องถอดหน้ากากได้ เฉพาะร้องเพลง และห้ามสัมผัสลูกค้า

และกรณีร้านอาหาร ยังงดจำหน่ายและดื่มสุราในร้าน ส่วนธุรกิจโรงภาพยนตร์ กลับมาเปิดได้ โดยจำกัดจำนวน 50% และต้องนั่งที่เว้นที่ ยกเว้นกรณีมาด้วยกัน รวมถึงสวมหน้ากากตลอดเวลา

ขณะเดียวกัน ยังมีสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ ร้านนวด สปา ที่ให้เปิดได้ แต่ห้ามอบไอน้ำและต้องนัดล่วงหน้า จำกัดเวลาไม่เกิน 2 ชั่วโมงต่อคน เช่นเดียวกับ ร้านทำเล็บ และร้านสัก ที่เปิดได้ตามเงื่อนไขที่กำหนด

นอกจากนี้ สระว่ายน้ำ ฟิตเนส ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กและก่อนวัยเรียน ห้องสมุดสาธารณะ ศูนย์การเรียนรู้ ศูนย์วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมหอศิลป์ และพิพิธภัณฑ์ แหล่งประวัติศาสตร์ โบราณสถาน

นพ.ทวีศิลป์ ยังบอกว่าที่ประชุม ศบค.ได้เห็นชอบแนวทางนำร่องเปิดประเทศเพื่อการท่องเที่ยว ที่น่าสนใจ คือ กทม. อยู่ในพื้นที่นำร่องระยะที่ 1 ซึ่งจะเริ่ม 1 พฤศจิกายนนี้