เปิดเบื้องหลัง 'โจ้' มอบตัว ไล่เรียงไทม์ไลน์พบข้อสงสัยหลายจุด

สังคม

เปิดเบื้องหลัง 'โจ้' มอบตัว ไล่เรียงไทม์ไลน์พบข้อสงสัยหลายจุด

โดย panwilai_c

27 ส.ค. 2564

706 views

หลังจากกรณีอดีตผู้กำกับโจ้ มอบตัวที่ชลบุรี ก่อนจะมีการแถลงข่าวการจับกุม เมื่อช่วง 3 ทุ่มของคืนที่ผ่านมา (26 ส.ค.64) ก็ยังมีคำถามชวนตั้งข้อสงสัยอีกหลายจุด เช่น หลบหนีไปที่นี่ตั้งแต่เมื่อไร ไม่ได้ออกไปตามแนวชายแดนใช่หรือไม่


วันนี้ (27 ส.ค.64) มีวงจรปิดที่เชื่อว่าเป็นรถยนต์ที่พาอดีตผู้กำกับโจ้หลบหนีไปแชร์กันอยู่ในโลกออนไลน์ ข้อมูลจากฝ่ายสืบสวนชุดติดตามไล่ล่าอดีตผู้กำกับโจ้ ระบุว่า รถยนต์มิติคูเปอร์ สีน้ำตาล คันนี้ คือรถที่อดีตผู้กำกับโจ้ขับรถหลบหนีจากกรุงเทพมหานคร ไปยังจังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 24 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยคาดว่าน่าจะออกมาจากบ้านพักที่คลองสามวาประมาณบ่าย 3 โมง แล้วใช้ถนนหลวงหมายเลข 9 หรือถนนกาญจนาภิเษก วิ่งตัดเข้าทางหลวงหมายเลข 7 หรือ มอเตอร์เวย์และตรงมาที่จังหวัดชลบุรีทันที โดยกล้องวงจรปิดจับภาพได้ตั้งแต่เวลา บ่าย 3 โมง รถวิ่งอยู่แถวคอลสามวา กระทั่งบ่าย 3 โมง 45 นาทีรถก็วิ่งอยู่บนถนนมอเตอร์เวย์แล้ว แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ใครขับรถมินิคูเปอร์มาส่ง เพราะรถมินิคูเปอร์ 3 คันที่อยู่ในความครอบครองของผู้กำกับโจ้ ไม่มีสีน้ำตาล





ซึ่งเป็นช่วงเวลาไล่เลี่ยกับที่ นาย ษิทรา เบี้ยบังเกิด ทนายความ ปล่อยคลิปเหตุการณ์ออกมา ตอนประมาณบ่าย 3 โมง 20 นาที และก็ไม่มีใครสามารถติดต่ออดีตผู้กำกับโจ้ได้อีก


จากนั้นวันที่ 25 สิงหาคม ประมาณ 5 ทุ่ม อดีตผู้กำกับโจ้ โทรศัพท์ติดต่อ พลตำรวจตรี เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 ให้ไปรับตัวที่ สภ.แสนสุข จังหวัดชลบุรี และเมื่อ 26 สิงหาคม 4 โมงเย็น อดีตผู้กำกับโจ้ก็มามอบตัวตามที่นัดกันโดยมีคนขับรถสีขาวมาส่ง


ทีมข่าวไปตรวจสอบกล้องวงจรปิด พบว่าที่สภ.แสนสุข ไม่มีกล้องวงจรปิดเลย มีฝั่งตรงข้ามแค่ 1 ตัว และตั้งแต่บ่าย 3 ครึ่ง ถึง 4 โมง 15 นาที มีรถวิ่งเข้าออก 4 คัน เป็นรถโตโยต้าฟอร์จูนเนอร์ สีขาว 1 คัน สีดำ 1 คัน รถเก๋งสีบรอนเงิน 1 คัน และรถกระบะสีดำ ตอน 4 โมง 10 นาทีเท่านั้น จากน้ัน 4 โมง 11 นาที ก็ขับออกไปทันที ซึ่งรถทั้ง 4 คันนี้เป็นรถของทีมตำรวจภูธรภาค 6 ที่มาคุ้มกันพลตำรวจตรี เอกรักษ์ ที่มารับตัวอดีตผู้กำกับโจ้


ขณะที่พลตำรวจตรี เอกรักษ์ นั่งรถตู้เบนซ์ รุ่นวีโต้ สีบรอนเงินมารับตัวอดีตผู้กำกับโจ้ออกไป คาดว่าน่าจะใช้ประตูทางเข้าออกอื่น เพราะทางเข้าออก สภ.แสนสุขมีหลายทาง


ทีมข่าวได้พูดคุยกับ พลตำรวจตรี เอกรักษ์ รอง ผบช.ภ.6 ถึงรายละเอียดการไปรับตัวอดีตผู้กำกับโจ้ รองเอกรักษ์ บอกว่า คืนวันที่ 25 สิงหาคม โจ้มีหมายจับแล้ว แต่ไม่มีใครติดต่อได้ 5 ทุ่ม ตอนที่โจ้โทรมาใช้เบอร์มือถือของใครไม่ทราบ แล้วบอกว่า "พี่เอก ผมเอง โจ้ ตอนนี้ผมยืนอยู่ที่ระเบียงชั้น 13 และกำลังจะกระโดดลงไป ผมเครียดไม่ไหวแล้ว" จากนั้นรองฯ เอกรักษ์ ก็พยายามเจรจาบอกว่า "ถ้ากระโดดลงไปเอ็งตาย แต่ครอบครัวพ่อแม่ญาติพี่น้องจะโดนประณามไปตลอดชีวิต ลูกน้องต้องไปรับกรรมแทน และสำนักงานตำรวจแห่งชาติอีก" สุดท้ายเขายอมมอบตัว แต่ก่อนจะวางสายได้พูดคุยกันพักใหญ่ โดยโจ้ได้ร้องไห้ออกมาอย่างหนัก และยอมรับว่าหลังรู้ว่าคลิปวงจรปิดหลุดออกไปแล้ว เขาโยนโทรศัพท์มือถือที่ใช้ประจำทิ้งทันทีแล้วหนีมาที่ชลบุรีทันที วินาทีที่มามอบตัว หลังจากเจอหน้ากันแล้วขึ้นมาบนรถตู้ โจ้ขอโทษและร้องไห้นานนับชั่วโมง พูดเล่าเหตุการณ์ทั้งหมด และปัญหาภายในองค์กรด้วย


จากนั้นก็เข้าให้ปากคำกับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ตามที่ปรากฏในข่าว ซึ่งภายในห้องสอบสวนเมื่อคืนนี้ รองฯ เอกรักษ์ บอกว่า โจ้เล่าทุกอย่าง และยอมรับว่าพลาดเอง ซึ่งในวงการตำรวจนักสืบเป็นที่รู้กันดีว่า "หมาล่าเนื้อพลาดก็ตาย" เมื่อโจ้พลาดก็ต้องยอมรับ


การที่โจ้ตัดสินใจมอบตัวกับรองเอกรักษ์ ทำให้เกิดคำถามว่า สนิทกันหรือไม่ รองฯ เอกรักษ์ บอกว่า ไม่ได้สนิทกัน แต่รู้จักกันตอนที่โจ้มารับตำแหน่งเป็นรองผู้กำกับสอบสวนอยู่ที่ สภ.เมืองพิษณุโลก และมักจะเข้ามาทำงานให้ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 บ่อยครั้ง


ส่วนเรื่องความร่ำรวยของโจ้ที่สังคมตั้งข้อสงสัย รองฯ เอกรักษ์ บอกว่า การที่โจ้ได้เงินรางวัลนำจับหลักหลายร้อยล้านบาทจากการจับรถหนีภาษี เพราะอยู่ในชุดปฏิบัติการพิเศษที่ตั้งขึ้นเมื่อปี 2554 ซึ่งการทำงานนั้นในระเบียบของกรมศุลกากรระบุว่า มีรางวัลนำจับถึง 40 เปอร์เซนต์ จึงถือว่าเป็นเงินที่ได้มาอย่างถูกต้องจากกรมศุลกากร


และอีก 1 คำถาม ที่ทีมข่าวถามรองฯ เอกรักษ์ คือ ผู้ที่ช่วยพาหลบหนีเป็นใคร ต้องติดตามตัวไหม เพราะคนขับรถมาส่ง คนที่ให้ที่พักพิง เข้าข่ายให้การช่วยเหลือ รองฯ เอกรักษ์ บอกกับผู้สื่อข่าวว่า ในช่วงเวลานั้นไม่ทันสังเกตว่าใครเป็นคนขับรถคันสีขาวมาส่งอดีตผู้กำกับโจ้ ผู้หญิงหรือผู้ชาย รู้เพียงมาส่งแล้วจากไปทันที ทะเบียนก็ไม่ทันสังเกต ซึ่งหน้าที่ต่อจากนี้เป็นของพนังานสอบสวน ที่จะต้องไปขยายผลเพิ่มเติม ไล่กล้องวงจรปิดเอง




ขณะที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 189 ระบุว่า ผู้ใดช่วยผู้อื่นซึ่งเป้นผู้กระทำความผิดอันมิใช่ความผิดลหุโทษเพื่อไม่ให้ต้องโทา โดยให้ที่พำนัก ซ่อนเร้น หรือช่วยประการใดเพื่อไม่ให้ถูกจับ มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ



สามารถดูข่าวทาง Youtube ได้ที่ : https://youtu.be/I-uvkJdQVRs

คุณอาจสนใจ

Related News