เปิดที่มาลัมโบร์กินีในกรุ ผกก.โจ้ กรมศุลฯ ยันไม่พบชื่อว่าเคยประมูล แต่มีชื่อเป็นเจ้าของคดี

สังคม

เปิดที่มาลัมโบร์กินีในกรุ ผกก.โจ้ กรมศุลฯ ยันไม่พบชื่อว่าเคยประมูล แต่มีชื่อเป็นเจ้าของคดี

โดย panwilai_c

26 ส.ค. 2564

219 views

การมีชื่อเป็นผู้ครอบครองรถหรูมากกว่า 30 คัน ของอดีตผู้กำกับโจ้ ถูกสังคมตั้งคำถามว่า นอกจากรับราชการตำรวจแล้ว ยังมีอาชีพอื่นอีกหรือไม่ ที่ทำให้มีทรัพย์สินมากขนาดนี้ กระทั่งล่าสุด ดีเอสไอ ตรวจสอบแล้วยืนยันว่ารถยี่ห้อ Lamborghini รุ่น aventador มูลค่ากว่า 48 ล้านบาท ที่อดีตผู้กำกับครอบครองอยู่ อยู่ในรายชื่อรถหลบเลี่ยงภาษี ที่บริษัทผู้นำเข้า ถูกดำเนินคดี ขณะที่กรมศุลกร ยืนยันว่าตรวจไม่พบว่าอดีตผู้กำกับโจ้ เคยประมูลรถหรู แต่มีชื่อเป็นเจ้าของสำนวนคดี ที่นำส่งรถหรูให้กรมศุลากรประมูล มากถึง 368 คัน ในระยะ 10 ปี ซึ่งคดีเหล่านี้ จะได้เงินรางวัลนำจับด้วย




โฆษกกรมศุลากร เปิดเผยกับข่าว 3 มิติ ล่าสุด ยืนยันว่าได้ตรวจสอบข้อมูลผู้เคยมาประมูลรถยนต์ ที่กรมศุลกากรนำรถที่คดีสิ้นสุดมาขายทอดตลาดแล้ว ไม่พบว่ามีชื่อของอดีตผู้กับโจ้ มาประมูลรถยนต์แต่อย่างใด แม้ว่าโดยระเบียบแล้ว จะห้ามเฉพาะเจ้าหน้าที่ศุลการเท่านั้นที่ไม่มีสิทธิ์ประมูล ที่เหลือจากนั้นต่อให้เป็นตำรวจที่เป็นเจ้าของสำนวนคดีที่เคยจับและยึดรถมา เมื่อคดีสิ้นสุดก็ประมูลได้ แต่ก็ไม่ปรากฎชื่อ อดีตผู้กำกับโจ้ มาประมูล


อย่างไรก็ตาม อดีตผู้กำกับโจ้ กลับมีชื่อเป็นเจ้าของสำนวนคดีที่จับรถยนต์หรู ที่ลักลอบนำเข้าโดยไม่เสียภาษี มากถึง 368 คัน ระหว่างปี 2554 เป็นต้นมา


ซึ่งรถเหล่านี้เมื่อขายทอดตลาด ผู้แจ้งเบาะแส หรือเจ้าหน้าที่ผู้จับ จะได้ส่วนแบ่ง ร้อยละ 20 ซึ่งอธิบดีกรมศุลากร เปิดเผยต่อสื่อมวลชนว่ารถทั้ง 368 คัน ขายทอดตลาดไม่ได้ เพียง 5 คันที่เหลือจากนั้นขายทอดตลาดได้ราว 1 พันล้านบาท ซึ่งเงินนำจับและค่าสายข่าว ตามระเบียบเดิมก่อนปี 2560 นั้น กำหนดให้รางวัลผู้จับร้อยละ 25 และแยกจ่ายให้ผู้แจ้งเบาะแสอีกร้อยละ 35 หากคิดรวมเงินนำจับทั้งหมดอาจจะมากกว่า 450 ล้าน แต่หลังปี 2560 ที่แก้ไขระเบียบใหม่ ลดอัตราจ่ายเงินทั้งสองแบบเหลือร้อยละ 20 แต่ไม่เกิน 5ล้านบาท


อย่างไรก็ตาม โฆษกกรมศุลกากรระบุว่า อดีตผู้กำกับโจ้ ไม่ได้นำส่งรถที่จับมาเป็นจำนวนมาก ภายในครั้งเดียว แต่สะสมเรื่อยมาในระยะ 10ปี และกรมศุลกากร ไม่มีอำนาจตรวจสอบได้ว่าเหตุใดสำนวนคดีรถที่หนีภาษีจำนวนนี้ จึงถูกนำจับและนำส่งโดยอดีตผู้กำกับโจ้ ที่ทำงานด้านยาเสพติด และหากเป็นรถที่เกี่ยวกับคดียาเสพติด ก็เป็นของกลางในคดียาเสพติดไป ไม่ใช่ฐานหลบเลี่ยงภาษี


แหล่งข่าวให้ข้อมูลข่าว 3มิติว่า รถหรูในสำนวนที่อดีตผู้กำกับโจ้ นำส่งกรมศุลกากรนั้น เป็นรถลักลอบนำเข้าไทยด้วยการแฝงเป็นนักท่องเที่ยวขับรถเข้ามา เมื่อได้เงินแล้ว ก็จอดทิ้งไว้ แล้วกลับไปแจ้งหายและรับเงินประกันที่มาเลเซีย ส่วนรถก็จะถูกแจ้งจับว่าหนีภาษีแต่ไม่มีผู้ต้องหา แล้วนำส่งศุลการ เพื่อดำเนินคดีและนำรถออกประมูลขายทอดตลาด ตอนหลังวิธีการแบบนี้ไม่ได้ผล เพราะบริษัทประกันที่มาเลเซีย จะประสานทางการไทย เพื่อขอรถที่ยึดได้คืน ทำให้รถไม่ถูกขายทอดตลาด คนกลุ่มนี้จึงใช้วิธีนำมาสวมทะเบียนแทน


ส่วนรถ Lamborghini รุ่น aventador ที่มีชื่อ อดีตผู้กำกับโจ้ ครอบครองนั้น อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ยืนยันผลตรวจสอบว่า เป็นรถที่อยู่ในบัญชีถูกดำเนินคดีกับบริษัทที่นำเข้าฐานเลี่ยงภาษี เฉพาะคันนี้ ขาดภาษีถึง 31 ล้านบาท ซึ่งดีเอสไอดำเนินคดีบริษัทนำเข้า ส่วนรถคันนี้ อดีตผู้กำกับโจ้ มีชื่อเป็นผู้ซื้อ โดยพบว่าซื้อในราคาท้องตลาดคือกว่า 40 ล้านบาท อัยการมีความเห็นให้คืนรถให้เจ้าของเมื่อ เดือนมกราคมปีนี้ และรถได้ถูกเปลี่ยนผู้ครอบครองในเดือนกุมภาพันธ์ ปีนี้ เช่นกัน ทำให้รถคันนี้ไม่ใช่ชื่อของอดีตผู้กำกับโจ้แล้ว



คุณอาจสนใจ

Related News