'ตาสมนึก' วัย 81 ติดโควิดเสียชีวิต ในบ้านอีก 8 คน ติดเชื้อยกบ้าน รอนาน 13 วันยังไม่ได้รับการรักษา

สังคม

'ตาสมนึก' วัย 81 ติดโควิดเสียชีวิต ในบ้านอีก 8 คน ติดเชื้อยกบ้าน รอนาน 13 วันยังไม่ได้รับการรักษา

โดย thichaphat_d

21 ก.ค. 2564

68 views

เมื่อวานนี้ (20 ก.ค.) ทีมข่าวได้รับแจ้งจากนางธาราทิพย์ (สงวนนามสกุล) อายุ 42 ปี ว่าคนในครอบครัวติดเชื้อโควิดยกบ้าน 9 คน ประกอบด้วยตนเอง, สามี อายุ 37 ปี, ลูกชาย อายุ 20 ปี คุณพ่อ อายุ 81 ปี, คุณแม่ อายุ 67 ปี, น้องชายอายุ 24 ปี เป็นดาวน์ซินโดรม หลานสาว อายุ 9 ปี และหลานสาว หลานชายอีก 2 คน อายุ 5 ขวบ ต่อมาคุณพ่อได้เสียชีวิต เหลืออีก 8 คน ยังอาศัยอยู่ในบ้านพัก ย่านบางขุนเทียน กทม.รอรับการรักษา


นางธาราทิพย์ เผยว่า ช่วงแรก ๆ คุณพ่อคือนายสมนึก ไม่สบาย 3-4 วัน มีอาการเวียนศีรษะ ตัวร้อน มีไข้ จากนั้นวันที่ 30 มิ.ย. คุณพ่อกับคุณแม่พากันไปหาหมอที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ได้ทำการตรวจหาเชื้อโควิด ทราบผลวันที่ 1 ก.ค. ทางโรงพยาบาลโทรมาแจ้งผลตรวจของคุณพ่อเป็นบวก เย็นวันเดียวกันอาการคุณพ่อเริ่มแย่ ตนจึงรีบโทรหาเตียงเวลา 2 ทุ่ม รถพยาบาลเข้ามารับพ่อไปรักษา ส่วนคนในบ้านที่เหลือ 8 คน ต้องกักตัว


ช่วงที่คุณพ่อมีอาการทรุดหนัก ตัวร้อน ถ่ายเหลว ก่อนจะไปโรงพยาบาลและเสียชีวิต คุณพ่อได้แต่นอนร้องโอดโอยบอกว่า “ไม่ไหวแล้วช่วยพ่อด้วย” ตนช่วยพยุงตัวคุณพ่อไปขึ้นรถเพื่อไปโรงพยาบาล จากนั้นก็ไม่ได้คุยกันอีกเลย ตนช่วยได้แค่นั้นจริง ๆ เป็นภาพสุดท้ายที่ได้เห็นคุณพ่อ ขณะนั้นคิดอย่างเดียว “รู้แค่ว่าทำไงรักษาพ่อให้หาย”


วันที่ 3 ก.ค. ตนเองเริ่มมีอาการเป็นไข้ ครั่นเนื้อครั่นตัว จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส มีอาการแบบนี้ 3-4 ปี พยายามติดต่อหาสถานที่ตรวจหาเชื้อก็หาไม่ได้ หายามากินนอนแยกกับหลาน ๆ กระทั่งวันที่ 7 ก.ค. คนในบ้าน 8 คน พากันไปตรวจหาเชื้อโควิดที่ศูนย์บริการสาธารณะสุข 42 ถนอม ทองสิมา ต่อมาบ่ายวันที่ 8 ก.ค. เจ้าหน้าที่โทรมาแจ้งว่าตนเอง คุณแม่ และน้องชายเป็นดาวน์ซินโดรม ผลเป็นบวก


ตนพยายามประสานหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อหาเตียง โดยตนอาการหนักสุด มีหน่วยงานโทรมาบอกให้เก็บของรอ ก็ได้แต่รอ 13 วัน แล้ว ญาติ ๆ คอยนำน้ำสมุนไพรมาหาดื่ม ส่งอาหารมาให้กินเพราะออกไปที่ไหนไม่ได้ อาการเริ่มดีขึ้นไม่ไอ ไม่มีไข้ ระหว่างที่ตนกักตัวอยู่ที่บ้านก็คอยโทรสอบถามอาการของคุณพ่อ ซึ่งรักษาตัววอยู่โรงพยาบาล หมอระบุว่าอาการพ่อดีขึ้น ทานข้าวได้ พูดคุยรู้เรื่อง แต่ค่าออกซิเจนในเลือดต่ำ


กระทั่งบ่ายวันที่ 10 ก.ค. ทางโรงพยาบาลโทรมาแจ้งว่าคุณพ่อเสียชชีวิตแล้ว เชื้อลงปอดถูกทำลายไป 60 เปอร์เซ็นแล้ว รู้สึกช็อกและเสียใจกันทั้งบ้าน จะไปรับศพหรือทำพิธีฌาปนกิจก็ไปไม่ได้ อาศัยน้องสาวและญาติคนอื่น ๆ ซึ่งอยู่บ้านอีกหลังช่วยจัดการเรื่องรับศพและนำไปเผาในวันเดียวกัน เผาเสร็จเก็บอัฐิน้องสาวนำมาไว้ที่บ้าน


นางธาราทิพย์ นั่งดูกรอบรูปคุณพ่อร่ำไห้ บอกว่า “เสียใจที่คุณพ่อต้องมาเสียชีวิตจากโควิด ได้แต่นั่งดูรูปพ่อ กะว่าหายดีแล้วจะนำกระดูกไปทำบุญให้พ่อ ขอให้พ่อหลับให้สบาย พ่อไม่เจ็บไม่ทรมานแล้ว หนูสัญญาว่าหนูจะรีบรักษาตัวให้หายไว ๆ จะดูแลแม่กับน้องเอง ทรมานใจเหลือเกินอยากไปหาก็ไปไม่ได้” ตนมีความหวังว่าพ่อจะหายป่วย แต่ไม่ได้ดั่งหวัง


“รับกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ เพราะเสียพ่อไปแล้ว มันไม่น่าจะมาเกิดกับครอบครัวเรา แต่มันก็หลบเลี่ยงไม่ได้ ตนเสียใจ ไม่อยากให้สูญเสียใครไปสักคน ถ้าไม่มีโรคนี้พ่อคงต้องอยู่กับตนอีกหลายปี” บางครั้งตนก็ไปยืนจับโกศใส่อัฐิของพ่อ แล้วพูดว่า “ให้หนูแข็งแรงดีก่อนจะไปทำบุญให้” บางวันตนก็ฝันถึงคุณพ่อ ชวนไปขุดร่องดินในสวน คุณพ่อคงห่วงสวนผัก


ต่อมาวันที่ 14 ก.ค. สามี ลูกชาย และหลาน ๆ รวม 5 คน พากันไปตรวจหาเชื้อรอบ 2 ทราบผลวันที่ 15 ก.ค .เจ้าหน้าที่โทรมาแจ้งว่าทั้ง 5 คน ผลเป็นบวกติดเชื้อโควิด เท่ากับว่าติดเชื้อโควิดยกบ้าน ทุกคนได้แต่กักตัวอยู่ในบ้าน รอรับการรักษา ตอนนี้ยังหาเตียงไม่ได้ เพราะยังไม่ได้รับผลตรวจยืนยันที่เป็นเอกสาร โทรไปขอศูนย์สาธารณสุขฯ เจ้าหน้าที่บอกให้ไปติดต่อรับเอง แต่พวกตนออกจากบ้านไม่ได้


พวกตนไม่สามารถเอาไปยื่นหน่วยงานได้ ทำให้เข้ารับการรักษาล่าช้า ทั้ง 8 คน ได้แต่รอความหวัง กินยาฟ้าทะลายโจร หลายหน่วยงานส่งฟ้ายาทะลายโจร กระชายขาวมาให้กิน สมุนไพรต้มสูดดมช่วยบรรเทาอาการ พวกตนอยากไปรักษาให้หายขาด ตอนนี้อาการของคนในบ้านยังไม่หนัก 


“ตนผ่านจุดที่เรียกว่าเกือบตายมาแล้ว เสียพ่อไปไม่มีอะไรที่ต้องเสียอีก หน่วยงานโทรมาถามทุกวัน บอกจะรีบติดต่อประสานหาเตียงให้ ไม่เห็นมีใครมาช่วย ถ้าอะไรมันจะเกิดก็มาเหอะยังดีมีกำลังใจจากพี่น้องน้า ๆ บางคนกลัวรังเกียจครอบครัวของตน ไม่มีใครอยากติดเชื้อหรอก”


นางธาราทิพย์ เผยต่อว่า บางทีตนก็เข้าใจว่าไม่มีเคสตนแค่เคสเดียว ใคร ๆ ก็เดือดร้อนเหมือนกัน แต่ตอนที่เรามีอาการหนัก ๆ ก็อยากได้รับความสนใจบ้าง เวลาโทรไปบางโรงพยาบาลที่รับตรวจ ถึงจะเสียเงินก็พร้อมจะไปตรวจ แต่ทางโรงพยาบาลกลับแจ้งว่า “ไม่รับตรวจ” แล้วก็ตัดสายทิ้ง


แม้กระทั่งโรงพยาบาลที่พ่อของตนรักษาตัวก่อนจะเสียชีวิต ก็ไม่รับตรวจหาเชื้อ ให้เหตุผลว่ารับตรวจเฉพาะคนที่มีสิทธิ์รักษาพยาบาลเท่านั้น จนตนและคนในครอบครัวต้องพากันไปตรวจเชิงรุก ศูนย์บริการสาธารณะสุข 42 ไปเข้าแถวต่อคิวนานมากกว่าจะได้ตรวจ ขณะที่ไปต่อคิวรอตรวจเชิงรุก เชื่อว่าตนและคนในครอบครัวได้รับเชื้อแล้ว และไปต้องอยู่ปะปนกับคนอื่น ๆ


ขณะนี้ในบ้านมีถังออกซิเจนเพียง 1 ถัง เนื่องจากก่อนจหน้านี้ตนอาการทรุด หายใจไม่ออก ปวดศีรษะ แน่นหน้าอกนอนไม่ได้ นั่งกอดหมอน กอดเข่า ทนความเจ็บปวด ญาติจึงโทรขอจากหน่วยงานหนึ่งนำถังออกซิเจนมาให้ ตอนนี้ตนอาการดีขั้นไม่ได้ใช้แล้ว เพราะหมอโทรมาแนะนำว่าถ้าหายใจเองได้ไม่ต้องใช้ออกซิเจนเพราะจะทำให้ปอดฉีก จึงไม่กล้าใส่


ส่วนคุณแม่ อายุ 67 ปี ยังแข็งแรงดีเป็นปกติ แต่ก็เป็นห่วงเพราะมีโรคประจำตัวเป็นโรคหอบกับความดัน “คุณแม่ไม่ได้พูดหรือบ่นอะไร แต่ตนรับรู้ได้ว่าแม่รู้สึกอย่างไร ถ้าตนไปถามคุณแม่ก็จะร้องไห้ บางทีคุณแม่แอบไปยืนดูรูปของคุณพ่อ ที่ตั้งอยู่ในบ้านแล้วใช้มือจับรูปร้องไห้ จึงไม่อยากจะถามอะไรมาก ไม่อยากเห็นคุณแม่ร้องไห้ คุณแม่เป็นห่วงหลาน ๆ มากเพราะยังเล็ก บางทีเห็นตนหายใจไม่ออก แม่ก็เดินมาถามว่าเป็นยังไงบ้างลูก”


นางธาราทิพย์ บอกว่า ต้นตอคาดว่าพ่อน่ารับเชื้อมาจากคนในตลาด เพราะคุณพ่อปลูกผักขายแล้วมาแพร่กระจายคนในครอบครัว อยู่ในบ้านไม่มีใครใส่หน้ากากอนามัย ตอนนี้ทุกคนในบ้านไม่สามารถออกไปที่ไหนได้ จะออกไปหาอะไรกินก็ไปไม่ได้ ต้องอาศัยญาติ ๆ นำของกินมาส่งให้ เพจต่าง ๆ ส่งสิ่งของกล่องปันสุขมาช่วยเหลือบ้าง


วานนี้ (20 ก.ค.) ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ก็ได้นำข้าวกล้อง น้ำดื่ม หน้ากากอนามัย มาม่า เจลล้างมือ ที่มีผู้บริจาคผ่านรายการเรื่องเล่าเช้านี้ ไปมอบให้บางส่วน เพื่อช่วยยังชีพในช่วงที่ครอบครัวนี้ยังกักตัวอยู่ในบ้านระหว่างรอเตียงรับการรักษา



รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/cGC0AgTtc50

คุณอาจสนใจ