เบรกก่อน! นายกฯ สั่งทบทวน “ฉีดวัคซีนสลับยี่ห้อ” หลัง WHO เตือนกระทบสุขภาพผู้รับ

สังคม

เบรกก่อน! นายกฯ สั่งทบทวน “ฉีดวัคซีนสลับยี่ห้อ” หลัง WHO เตือนกระทบสุขภาพผู้รับ

โดย pattraporn_a

13 ก.ค. 2564

1.9K views

วันนี้ (13 ก.ค.) ประเด็นที่ประชาชนให้ความสนใจ คือการออกมาเปิดเผยข้อมูลขององค์การอนามัยโลก ที่ระบุว่า การฉีดวัคซีนสลับยี่ห้อ อาจเกิดอันตรายกับผู้รับวัคซีน เป็นข้อมูลที่เปิดเผยในวันที่ไทยประกาศให้ฉีดวัคซีนสูตรใหม่ ประชาชนจึงสับสนว่า จะฉีดอย่างไรจึงจะปลอดภัย ขณะที่ยอดผู้ติดเชื้อวันนี้ยังสูงเกือบ 9 พันคน


โดยยอดผู้ติดเชื้อใหม่วันนี้คือ 8,685 คน มาจากระบบเฝ้าระวัง 6,038 คน จากการตรวจเชิงรุก 2,501 คน และจากเรือนจำ 146 คน มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 56 คน


จนถึงขณะนี้ไทยมีผู้ติดเชื้อสะสม 353,712 คน รักษาตัวอยู่ 95,410 คน อาการหนัก 3,042 คน ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ 794 คน เสียชีวิตสะสม 2,847 คน


ขณะที่ผู้ติดเชื้อใหม่ทั้ง 77 จังหวัด กรุงเทพมหานครยังคงมีผู้ติดเชื้อสูงสุด ที่ 2,631 คน ตามมาด้วยสมุทรสาคร 561 คน นนทบุรี 537 คน และสมุทรปราการ 529 คน


ส่วนที่เมื่อวาน (12 ก.ค.) คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ได้มีมติให้ปรับสูตรการฉีดวัคซีนโดยการฉีกสลับต่างยี่ห้อ ทำให้วันนี้ องค์การอนามัยโลก ได้ออกมาเตือนในเรื่องนี้ โดย ดร.ซุมย่า สวามินาธาน หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ องค์การอนามัยโลก ได้ระบุว่า การสลับวัคซีน อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้รับวัคซีนได้ เนื่องจากยังมีข้อมูลจากการวิจัยนี้น้อยเกินไป


อย่างไรก็ตามเธอได้อธิบายเพิ่มถึงกรณีนี้ว่าไม่ควรให้ประชาชน ตัดสินใจเลือกยี่ห้อในการฉีดเอง แต่ให้ยึดตามข้อมูลสาธารณสุขของแต่ละประเทศ โดยขณะนี้ยัง ไม่มีหลักฐานที่ยืนยันว่า การฉีดวัคซีนกระตุ้น เป็นเรื่องจำเป็น


ด้าน ศาสตราจารย์นายแพทย์ ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิกภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายว่า ขณะนี้มีวัคซีนสองรูปแบบ คือผลิตจากเชื้อตายใช้เทคโนโลยีดั้งเดิม และวัคซีนไวรัล เวกเตอร์ ใช้เทคโนโลยีใหม่ ซึ่งได้ศึกษาการฉีดวัคซีนเข็มที่หนึ่งและเข็มที่สองต่างชนิดกัน เพื่อดูประสิทธิภาพการสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยเข็มที่หนึ่งทดลองใช้วัคซีนชนิดเชื้อตายซิโนแวค ห่างไป 3-4 สัปดาห์ ให้วัคซีนชนิดไวรัลเวกเตอร์ เเอสตราเซเนกา พบว่า ร่างกายมีการสร้างภูมิต้านทานได้สูงเท่ากับการใช้แอสตราเซนิกา 2 เข็ม


อย่างไรก็ดี มีรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สั่งในที่ประชุม ครม.วันนี้ ให้ทบทวนเรื่องฉีดวัคซีนสลับชนิดก่อน


ส่วนประเด็นเรื่องการใช้ชุดตรวจโควิด-19 ด้วยตัวเอง หลังจากมีประกาศในราชกิจานุเษกษา เรื่องให้ประชาชนใช้ชุดตรวจ Antigen Test Kit ตรวจเองได้ที่บ้าน วันนี้ อย.ได้ชี้แจงว่า ประชาชนยังไม่สามารถซื้อจากร้านขายยาทั่วไปได้ ต้องรอให้ อย.ขึ้นทะเบียนรับรองผลิตภัณฑ์ชุดตรวจก่อน คาดว่าจะเปิดจำหน่ายได้สัปดาห์หน้า ส่วนที่ขายออนไลน์ทั่วไปนั้น ทาง อย.ยังไม่ให้การรับรอง


ขณะที่การประชุม ครม.วันนี้ ได้เห็นชอบมาตรการช่วยเหลือในระยะเร่งด่วน กลุ่มแรงงานและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ โดยขยายพื้นที่ จาก 6 จังหวัด ให้ครบ 10 จังหวัด ตามที่ได้ประกาศมาตรการล็อกดาวน์


นอกจากเพิ่มพื้นที่เยียวยาแล้ว ยังเพิ่มประเภทกิจการจากเดิม 4 กลุ่ม เป็น 9 กลุ่ม โดยรูปแบบการให้ความช่วยเหลือ ในระบบประกันสังคม ตามมาตรา 33 ลูกจ้าง จ่ายเพิ่มเป็น 2,500 บาทต่อคนเดิมจ่าย2000 บาท ไปรวมกับเงินเยียวยาประกันสังคมที่รายละไม่เกิน 7500 บาท


ส่วนนายจ้างและผู้ประกอบการ รัฐบาลยังคงจ่ายให้นายจ้างตามจำนวนลูกจ้าง 3,000 บาทต่อหัวต่อสถานประกอบการ สูงสุดไม่เกิน 200 คน ส่วนผู้ประกันตนที่ไม่มีนายจ้าง ที่ประกอบอาชีพอยู่ในปัจจุบัน จะได้รับเงินช่วยเหลือ 5,000 บาทต่อคน


และสำหรับผู้ที่อยู่นอกระบบประกันสังคม ที่มีอาชีพอิสระ ขอให้ขึ้นทะเบียนกับประกันสังคม ภายในเดือนนี้ เพื่อจะได้รับเงินช่วยเหลือ 5,000 บาทต่อคน


สำหรับผู้ประกอบการในระบบ "ถุงเงิน" โครงการคนละครึ่งและโครงการเราชนะ ขยายให้ความช่วยเหลือจากเดิมเฉพาะหมวดร้านอาหารและเครื่องดื่ม เป็น 5 กลุ่ม คือ ร้านอาหารและเครื่องดื่ม, ร้าน OTOP , ร้านค้าทั่วไป, ร้านค้าบริการ และกิจการขนส่งสาธารณะ ซึ่งไม่รวมกิจการขนาดใหญ่


นอกจากนี้ ครม.ยังมีมติให้ลดค่าน้ำ ค่าไฟ ทั่วประเทศ เป็นเวลา 2 เดือน

คุณอาจสนใจ

Related News