'หมอคำนวณ' ชี้เรากำลังเลือก เปิดประเทศได้-ก้าวสู่วิกฤตถลำลึก แนะปรับแผนฉีดวัคซีนโควิด

สังคม

'หมอคำนวณ' ชี้เรากำลังเลือก เปิดประเทศได้-ก้าวสู่วิกฤตถลำลึก แนะปรับแผนฉีดวัคซีนโควิด

โดย passamon_a

3 ก.ค. 2564

44 views

วันที่ 2 ก.ค.64 นพ.คำนวณ อึ้งชูศักดิ์ นายแพทย์ผู้ทรงคุณวุฒิผู้เชี่ยวชาญในด้านระบาดวิทยา ที่ปรึกษาด้านวิชาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวในการเสวนา วัคซีนโควิด ไทยจะเดินต่อไปอย่างไร ว่า บรรยากาศของประเทศไทยตอนนี้ เหมือนกับเรากำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ โดยช่วง 3 เดือนจากนี้ คือ ก.ค.-ก.ย. เรากำลังเลือกเอาว่า เราจะสามารถเปิดประเทศได้ หรือเรากำลังก้าวเข้าสู่วิกฤตที่กำลังถลำลึกลงไปอีก


ทั้งนี้ ตนอยากเสนอข้อเท็จจริง 5 ข้อด้วยกัน และทางเลือก 2 ทางเลือกที่จะฝ่าวิกฤตรอบนี้ จึงอยากจะขอให้ทุกฝ่ายช่วยคิดตาม ขณะนี้เราอยู่ในระลอก 3 จากสายพันธุ์อัลฟา (อังกฤษ) ที่ติดต่อได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เราตั้งตัวไม่ทัน เรามีคนไข้เสียชีวิตประมาณ 50 คนต่อวันในขณะนี้


คำถามว่าเดือนหน้า เดือนถัดไป อัตราการเสียชีวิตจะเป็นอย่างไรบ้าง ผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดลงความเห็นตรงกันว่าสถานการณ์จะแย่กว่าเดิม เหตุผลเพราะสายพันธุ์ใหม่ หรือสายพันธุ์เดลตา (อินเดีย) เข้ามายึดครองการระบาด ซึ่งข้อมูลของกรุงเทพมหานครตอนนี้ อยู่ที่ 40% แล้ว ในไม่ช้าเดือนนี้หรือเดือนหน้าจะเป็นเชื้อเดลตาทั้งหมด ซึ่งสายพันธุ์นี้มีความสามารถในการแพร่เชื้อเร็วกว่าสายพันธุ์เดิม 1.4 เท่า


เพราะฉะนั้นคิดง่าย ๆ ว่าถ้าเมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา เรามีคนเสียชีวิตทั้งเดือน 992 คน ซึ่งเป็นภาระใหญ่มาก ถ้าสถานการณ์ยังเป็นอย่างนี้เดือน ก.ค. เราจะมีคนเสียชีวิตประมาณ 1,400 คน ส.ค. 2,000 คน และพอถึงเดือน ก.ย. จะมีผู้เสียชีวิตเป็น 2,800 คน ตอนนี้เรามีผู้เสียชีวิต 900 กว่าคน ยังทำให้ระบบสาธารณสุขเดินหน้าต่อไปไม่ได้ และถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปก็แน่นอนว่าเราจะไม่สามารถไปรอดได้


นพ.คำนวณ กล่าวต่อว่า แต่มันมีทางออกคือ 80% ของคนที่เสียชีวิต เป็นคนสูงอายุหรือเป็นคนที่มีโรคประจำตัว ถ้าเราสามารถปกป้องคนกลุ่มนี้ได้ ก็จะลดการเสียชีวิตลงได้อย่างมาก และอยู่ในวิสัยที่เราจะแก้ปัญหาได้ จากตัวเลขคนสูงอายุติดเชื้อ 100 คน จะเสียชีวิต 10 คน แต่ถ้าอายุน้อย ติดเชื้อ 1,000 คน อาจจะเสียชีวิตเพียง 1 คน แตกต่างกันมาก เพราะฉะนั้นเรามีอาวุธที่ดีคือวัคซีน เป้าประสงค์แรกเราต้องการลดการเจ็บหนัก ลดการเสียชีวิตก่อน วัคซีนทุกตัวที่องค์การอนามัยโลกขึ้นทะเบียนส่วนใหญ่ได้ผลในการลดอาการหนัก ลดการเสียชีวิตได้ประมาณ 90% ดังนั้นไม่จำเป็นต้องไปสนใจเรื่องยี่ห้อ


ทั้งนี้ ประเทศไทยกำลังใช้ยุทธศาสตร์ที่จะสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ คือการฉีดแบบปูพรมให้คนไทยได้วัคซีน 70% โดยหวังว่าถ้าเราทำได้แบบนั้นจริงจะมีการติดเชื้อน้อยลง คนจะเสียชีวิตน้อยลง แต่ปัญหาถ้าเราจะทำอย่างนั้นได้ คือเรามั่นใจหรือไม่ว่า 70% จะสามารถสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ได้ นักวิชาการบางส่วนบอกว่าไม่ได้ เพราะในอังกฤษเริ่มมีคนติดเชื้อเยอะขึ้น เพราะฉะนั้นการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ อาจจะต้องไปถึง 90% และต้องใช้วัคซีนที่ดีมาก ๆ


แต่ถ้าเราต้องการลดการเสียชีวิตเราสามารถเปลี่ยนยุทธศาสตร์ได้ด้วยการใช้ยุทธศาสตร์แบบมุ่งเป้า ซึ่งเดิมเราใช้ยุทธศาสตร์ 2 ขั้นตอน ระยะแรกคือมุ่งเป้าฉีดคนสูงอายุและกลุ่มเสี่ยงให้จบภายในเดือน ก.ค.-ส.ค. แต่ตอนหลังเนื่องจากเรามีความต้องการเยอะมาก เราต้องการให้ภาคโรงงานไม่เจ็บป่วย เราต้องการควบคุมการระบาด เวลาเกิดการระบาดในชุมชนเราจะไปฉีดวัคซีน เราต้องการเปิดโรงเรียนเราก็เอาวัคซีนไปให้กับสถาบันต่าง ๆ เราต้องการเปิดแหล่งท่องเที่ยวเอาวัคซีนไปให้


ซึ่งเป็นความคิดที่ดี แต่การจะทำอย่างนั้นได้มีเงื่อนไขสำคัญคือ 1. เราต้องมีวัคซีนไม่จำกัด มีมากเพียงพอ 2. เรามีขีดความสามารถในการฉีดได้อย่างรวดเร็ว เพราะสปีดการแพร่ระบาดเร็วมาก ตอนนี้ทุกประเทศยอมรับกันหมดว่าไม่มีประเทศไหนที่จะมีวัคซีนไม่จำกัด แม้กระทั่งอเมริกา อังกฤษ หรือยุโรป ซึ่งเป็นผู้ผลิตวัคซีนเอง ก็ยอมรับว่าไม่สามารถใช้วิธีการฉีดปูพรม สร้างภูมิหมู่ได้อย่างรวดเร็ว จึงมาใช้การลดการป่วยการเสียชีวิตก่อน


หากสังเกต 1 เดือนที่ผ่านมา ขีดความสามารถในการฉีดวัคซีนของไทยไม่ได้เป็นคำถาม เพราะเราฉีดได้ 10 ล้านคน แต่ใน 10 ล้านคน เมื่อดูแล้วคนสูงอายุได้แค่ 10% ถ้าเราเดินแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ เพิ่มไปได้แค่เดือนละ 10% เราอาจจะต้องใช้เวลา 7-8 เดือนกว่าจะป้องกันคนสูงอายุได้ เพราะฉะนั้นเรามีทางเลือก 2 ทาง


ทางที่ 1 คือทำแบบเดิมจะเห็นผลก็ต่อเมื่ออีก 5-6 เดือน ซึ่งจะไม่ทันกับปัญหาวิกฤตของเตียง ข้อเสนอที่ 2 คือเปลี่ยนเอาวัคซีนที่มีอยู่ในมือ ถ้าเรายอมรับว่าวัคซีนมีอยู่จำกัด และพยายามหามาเดือนละ 10 ล้านโดสนั้น แต่ถ้าเผื่อไม่ได้ ก็ต้องเปลี่ยนยุทธศาสตร์ เอาวัคซีนที่มีทั้งหมดในมือมาทำความตกลงกันไว้ตั้งแต่นายกรัฐมนตรี ศบค. ผู้ว่าราชการจังหวัด ต้องวางเป้าหมายแรกลดเจ็บหนักและเสียชีวิตในกลุ่มผู้สูงอายุและกลุ่มเสี่ยงก่อน


ซึ่งเรามีกลุ่มนี้ 17.5 ล้านคน ตอนนี้เราฉีดได้ 2.5 ล้านคน อีก 15 ล้านคน เราต้องการฉีดให้จบภายใน 2 เดือนคือ ก.ค.-ส.ค. เราชื่อว่าเรามีวัคซีนเพียงพอด้วยกำลังการผลิตของแอสตราเซเนกา และวัคซีนที่ได้รับบริจาคมา หากเราทำได้แบบนี้เราจะลดการเสียชีวิตได้ โดยแทนที่จะเป็นหลักพันคนในเดือน ก.ค. แต่พอเดือน ส.ค. จะเหลือประมาณ 800 คน เดือน ก.ย. จะเหลือประมาณ 600-700 คน หรือวันละประมาณ 20 คน อยู่ในวิสัยที่ระบบสาธารณสุขยังเดินหน้าต่อไปได้


แต่ถ้าเราเดินยุทธศาสตร์เดิมและเราจะมีปัญหามาก วันนี้เราปิดกิจการต่าง ๆ ปิดแคมป์ แตาจำนวนคนเจ็บจะมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็ยิ่งต้องปิดมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ยิ่งไม่เป็นผลดีเพราะเศรษฐกิจเดินไม่ได้ แต่ถ้าเอาแบบหลังอาจจะไม่จำเป็นต้องปิดมากขึ้นแต่สามารถผ่อนคลายได้ แต่ถ้าต้องการลดคนเสียชีวิตอีกก็ต้องทำเรื่องของเตียงเพิ่ม และค้นหากลุ่มเสี่ยงให้เร็ว 


เพราะฉะนั้นอยากจะสรุปว่า ตอนนี้ผู้บริหาร ท่านนายกฯ ท่านรัฐมนตรี ผู้ว่าราชการจังหวัด เมื่อท่านได้โควตาวัคซีนไป คำถามคือว่าท่านจะฉีดให้ใครก่อน 2 ทางเลือก หากท่านเลือกทางเลือกแรก หลายจุดมุ่งหมายการคาดการณ์ คือจำนวนผู้ป่วยจะเกินแล้วเรารับไม่ไหว แต่ถ้าทุกคนเห็นตรงกันว่าเอาวัคซีนให้กับคนสูงอายุ คนมีอายุมีโรคประจำตัวก่อน เรื่องนี้ทางวิชาการมีแล้ว ในอังกฤษ อเมริกาก็ทำ ซึ่งแม้ยังมีจำนวนคนติดเชื้อ แต่คนตายไม่เยอะก็จะไม่มีปัญหาเท่าไร ถ้าทำแบบนี้เราจะสามารถแบ่งวัคซีนให้กับแรงงานต่างด้าวที่มีโรคประจำตัวก่อนก็จะช่วยได้ ตอนนี้เรากำลังตั้งโมเดลรายละเอียดคิดว่าฝ่ายวิชาการจะนำเสนอได้


คุณอาจสนใจ

Related News