พ่อวัย 84 ปีเครียดลูกสาวป่วยกล้ามเนื้ออ่อนแรงติดโควิดจากคนดูแล มาเสียชีวิตต่อหน้าทำใจไม่ได้ ตัดสินใจกระโดดตึกฆ่าตัวตายตามลูก

ขณะที่เมื่อประมาณ ตี 4 ที่ผ่านมา เกิดเหตุสลด เมื่อชายวัย 84 ปี ชาวจีน ตัดสินใจกระโดดลงมาจากชั้น 2 ของบ้าน ซึ่งเป็นอาคารพาณิชย์ ตั้งอยู่ในซอยพญานาค ถนนบรรทัดทอง กรุงเทพ นอนเสียชีวิตอยู่ที่ถนนหน้าบ้าน ขณะที่ภายในบ้านพบศพหญิงวัย 57 ปี นอนเสียชีวิตอยู่บนเตียง เจ้าหน้าที่ต้องสวมชุด PPE เข้าไปตรวจสอบและเก็บร่าง

จากการสอบถามน้องชายผู้เสียชีวิต ทราบว่า ชายวัย 84 ปี เป็นพ่อกระโดดตึกเมื่อเวลาประมาณ ตี 4 ส่วนหญิงที่นอนเสียชีวิตคือพี่สาว เป็นผู้ป่วยติดเตียงด้วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงมา 1 ปีแล้ว ต้องจ้างคนมาดูแล แต่ปรากฎว่าคนดูแลก็ติดเชื้อโควิด-19 เมื่อช่วงปลายเดือนมิถุนายน และนำมาติดพี่สาวที่นอนป่วย ซึ่งรู้ผลเมื่อวันที่ 29 มิถุนายนที่ผ่านมา แต่ระหว่างรอเตียงที่บ้าน พ่อวัย 84 ปี ต้องเป็นคนดูแลพี่สาว กระทั่งเมื่อคืนราวตี 4 ก็มีตำรวจมาเรียก เปิดประตูออกไปก็พบว่า พ่อนอนเจ็บอยู่หน้าบ้าน ก่อนจะเสียชีวิตในเวลาต่อมา

เมื่อไปขอดูวงจรปิดจากเพื่อนบ้านก็เห็นว่า พ่อกระโดดลงมาประมาตี 3 เชื่อว่าพ่อน่าจะตื่นมาดูอาการพี่สาว แล้วพบว่าพี่สาวเสียชีวิต จึงตัดสินใจกระโดดตึกฆ่าตัวตายตาม ซึ่งก่อนหน้านี้พ่อเคยบ่นว่าไม่อยากอยู่ตั้งแต่ช่วงสองสามปีที่ผ่านมา หลังคุณแม่เสียชีวิตไป แต่ก็ดีขึ้น ก่อนจะมาเริ่มเศร้าลงอีกหลังพี่สาวป่วย และเริ่มเครียดซ้ำอีกครั้งตอนรู้ว่าพี่สาวติดโควิค-19 ร่างพี่สาวจะเผาเย็นวันนี้ ส่วนคุณพ่อตรวจแล้วไม่พบเชื้อจะตั้งสวดอภิธรรมศพตามปกติที่วัดมะกอก

นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ตนยังมีความกังวลถึงสถานการณ์โควิด ที่จะเกิดขึ้นในรอบ 7 วันนี้ อาจจะมีผู้ป่วยรอเตียง เสียชีวิตที่บ้านอีก

อย่างไรก็ตาม ที่ตนออกมาพูดเพื่อสะท้อนให้ประชาชนเห็นภาพก่อน ในขณะที่รัฐบาลพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อหาเตียงในแต่ละส่วนเพิ่มเติมทั้งสีเหลือง และแดง ไอซียูสนามเช่น มณฑลทหารบหราบที่ 11 ทำไอซียูสนาม 50 เตียง โรงพยาบาลราชพิพัฒน์ จะเริ่มวันที่ 10 ก.ค.รวมถึง กทม.และโรงพยาบาลอีกจำนวนหนึ่ง ขณะเดียวกันก็เตรียมมาตรการดูแล ตัวเองที่บ้าน สำหรับผู้ป่วยอาการสีเขียว จะดูแลอาการในระบบชุมชน

ทั้งนี้ มาตรการต่างๆ ที่เตรียมไว้แล้วนั้นไม่สามารถแก้ปัญหาได้ภายในระยะ 7-14 วันนี้ เพราะต้องได้รับความร่วมมือจากประชาชนด้วย ที่พูดมาทั้งหมดเพื่อให้เข้าใจสถานการณ์ที่ตรงกัน รัฐบาลก็พยายามแก้ไขสถานการณ์แล้ว