เลือกตั้งและการเมือง

ผู้สมัครงัดจุดยืนเดิมพัน ก่อนเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. – ‘อุ๊งอิ๊ง’ ปล่อยคลิปอ้อน เลือก ส.ก.เพื่อไทยให้ชนะขาด

โดย nicharee_m

21 พ.ค. 2565

63 views

เมื่อวานนี้ (20 พ.ค.) บรรดาเหล่าผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และสมาชิสภากรุงเทพมหานคร เปิดเวทีปราศรัยใหญ่ ชูนโยบายหาเสียงเลือกตั้งโค้งสุดท้าย เพื่อเป็นการปิดหาเสียงก่อนเวลา 18.00 น. วันที่ 21 พ.ค.65

นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ผู้สมัครผู้ว่า กทม. พรรคก้าวไกล เปิดเวทีปราศรัยใหญ่ที่มิวเซียมสยาม โดยเริ่มต้นด้วยการบอกถึงที่มาฐานคิด 12 เมืองที่คนเท่ากันว่าคนที่ได้ประโยชน์ไม่ใช่แค่คนจน แต่ยังรวมถึงคนชั้นกลางที่ทุกวันนี้มีภาระมากเกินกว่าจะบริจาค นี่คือเหตุผลที่เราต้องเสนอนโยบายเพิ่มเบี้ยยังชีพ จาก 600 เป็น 1,000 บาท”

สำหรับเด็กเล็ก เราเจอเด็กยากจนในชุมชนเรารู้อยู่แก่ใจว่าเค้าไม่สามารถเป็นผู้ใหญ่ที่วิ่งตามความฝันเงื่อนไขนี้มาแก้ปัญหาเติมสวัสดิการเด็กเล็กจาก 600 บาท/เดือน ขึ้นมาเป็น 1,200 บาท/เดือน

นายวิโรจน์ยังพูดถึงการเปิดสัญญารถไฟฟ้าว่า ทุกคนพูดว่าต้องปิดสัญญาไม่เปิดสัญญา แต่มีแค่วิโรจน์คนเดียวที่ขอเปิดให้ กทม. เปิดเผยสัญญา และเรามีหนี้ที่ติดค้าง BTS อยู่ประมาณ 37,000 ล้านบาท ที่ปัจจุบันดอกเบี้ยเดินกลายเป็นกลายเป็น 39,000 ล้านบาท และทบไปเรื่อยๆ ถ้าเราไม่ทำอะไรหนี้ก้อนนี้จะเป็นภาระให้ผู้ว่าคนต่อไปต้องยอมต่อสัญญาสัมปทาน

“ผมอยากทวงถาม พล.อ.ประยุทธ์ ว่าไม่ต้องมาสั่งสอนผู้ว่าคนต่อไป แต่ให้คืนเงินภาษีที่ดินที่รัฐบาลผลักภาระมาให้คนกรุงเทพ 30,000 ล้านบาท ตัดงบประมาณ กทม. ที่ไป “สนับสนุนนโยบายรัฐบาล” 4,000 ล้านบาท และขอสภากรุงเทพให้นำเงินสะสม กทม. มาใช้หนี้ที่เหลือเพื่อลดหนี้ก้อนนี้ไปก่อน”

นายวิโรจน์กล่าวว่าการหางบประมาณและการจัดสรรงบประมาณคือหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบาย หลายคนบอกให้ประหยัดงบประมาณ แต่ต้องถามว่าจะต้องประหยัดอีกเท่าไหร่ ทำไมกรุงเทพต้องกระเบียดกระเสียนในขณะที่ยังมีนายทุนที่ไม่จ่ายในต้นทุนที่ควรจะจ่าย การอุดหนุนรถเมล์ต้องใช้เงิน 700 ล้านบาท/ปี ลอกท่อทั่วเมืองลอกคลองทั่วกรุงใช้งบประมาณ 2,000 ล้านบาท/ปี เพิ่มรอบการเก็บขยะปรับปรุงจุดทิ้งขยะใช้งบประมาณ 1,000 ล้านบาท/ปี ฉีดวัคซีนปอดอักเสบใช้งบประมาณ 400 ล้านบาท/ปี การปรับปรุงโรงเรียนศูนย์เด็กเล็กก็ต้องใช้เงินทั้งนั้น

นายวิโรจน์กล่าวว่าผู้ว่าและ ส.ก. จากพรรคก้าวไกลเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่ไปยกมือให้กับการจัดสรรงบประมาณสร้างเมืองที่คนเท่ากันและแก้ไขกฎระเบียบเมืองให้เป็นธรรม


ด้าน นายสกลธี ภัททิยกุล ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. หมายเลข 3 แบบไม่สังกัดพรรคการเมือง ได้ขึ้นปราศรัยใหญ่ครั้งสุดท้าย ณ บริเวณวงเวียนใหญ่ ท่ามกลางเหล่าผู้สนับสนุนที่มาร่วมฟังอย่างคึกคัก

โดยในระหว่างการปราศรัยใหญ่ได้เปิดเผยถึงความรู้สึกของตนเองที่ได้เห็นถึงปัญหาของกรุงเทพฯ จากประสบการณ์ทำงานเป็นรองผู้ว่าฯ กทม. มาตลอด 4 ปีที่ผ่านมา จากการจัดสรรงบประมาณที่ไม่มีประสิทธิภาพ ว่าคนกรุงเทพฯ กำลังเสียโอกาสและขาดทุนกับการใช้ชีวิตอยู่ตอนนี้ ซึ่งถ้ายังไม่สามารถจัดความสำคัญในการใช้งบประมาณได้ ก็เป็นเรื่องยากที่จะเพิ่มเติมคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับคนกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นสาเหตุหลัก ที่ทำให้ตนมาสมัครชิงตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม.ในครั้งนี้

ซึ่งนายสกลธีได้ย้ำถึงความมั่นใจว่าตนเองจะสามารถแก้ปัญหาต่างๆ ของ กทม. รวมทั้งให้คำสัญญากับชาว กทม. ที่จะออกมาเทคะแนนให้กับตนในวันที่ 22 พ.ค.นี้ ต่อหน้าพระบรมราชานุเสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช บริเวณวงเวียนใหญ่ซึ่งเป็นสถานที่ปราศรัยในแนวทางการทำงานของตนเองในฐานะผู้ว่าฯ ว่า

“ผมขอให้คำมั่นสัญญาวันนี้ ต่อหน้าองค์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ผมจะไม่ยอมให้คอร์รัปชั่นในระบบราชการไทยอยู่เหนือชีวิตของคนกรุงเทพฯ ทุกคน เราจะไม่ทนกับคอรัปชั่นต่างๆ มากมายที่อยู่รายรอบตัว และกลไกคอร์รัปชั่นที่ทำให้กรุงเทพฯ ไม่เดินหน้าไปไหน สิ่งนี้ต้องหมดไป ผมจะไม่ยอมให้กรุงเทพ ย่ำอยู่กับที่เหมือนที่ผ่านมา ผมเชื่อมั่นว่าประสบการณ์ 1,430 วัน ที่ผมเป็นรองผู้ว่าจะแก้ปัญหากรุงเทพได้ตรงจุด เพราะผมรู้จักกรุงเทพฯ และปัญหาของกรุงเทพฯ เป็นอย่างดี เพียงแต่ขาดโอกาสและอำนาจเต็มในการจัดการ”


นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.หมายเลข 4 พรรคประชาธิปัตย์ ปิดเวทีปราศรัยใหญ่ครั้งสุดท้าย ที่สถานีรถไฟกรุงเทพฯ หรือหัวลำโพง ขอคะแนนจากคนกรุงในช่วงโค้งสุดท้าย ด้วยบทสรุปของการเดินทางในเส้นทางผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.ของตนเอง หลังจากก่อนหน้านี้ได้ใช้ยุทธ์ศาสตร์การลงพื้นที่อย่างหนักครบทั้ง 50 เขต เพื่อรับฟังปัญหาและนำเสนอนโยบาย

โดยไฮไลท์หลักๆ ของเวทีอยู่ที่การส่งข้อความถึงคนกรุงว่า “คนเป็นผู้ว่าฯ ต้องกล้าคิดใหม่ เพื่อเปลี่ยนกรุงเทพฯ” เป็นส่งสัญญาณไปยังคนกรุงเทพฯ ว่า “เบอร์ 4 เปลี่ยนกรุงเทพเราทำได้”


น.ต.ศิธา ทิวารี ผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.หมายเลข 11 พรรคไทยสร้างไทย ขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่ ระบุ คนยากคนจนเดือดร้อนมากตลอดหลายปีที่ผ่านมา ประเทศไทยเจอวิกฤตอย่างหนัก ทั้งปัญหาทางการเมือง ปัญหาวิกฤตทางเศรษฐกิจ ปัญหาการระบาดของไวรัสโควิด-19 พี่น้องประชาชนเสียชีวิตกว่า 3 หมื่นราย

ซึ่งวิกฤตทั้ง 3 ส่วน จะไม่สูญเสียมากถึงเพียงนี้ หากรัฐบาลมีความรู้ความเข้าใจและความจริงใจต่อพี่น้องประชาชน ดังนั้นเราจะปล่อยให้ประเทศเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ เราต้องเร่งเปิดประเทศ พร้อมปรับปรุงแก้ไข กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ ให้พี่น้องประชาชนสามารถทำมาหากินได้ ด้วยการปลดล็อก และพักใบอนุญาต แขวนการบังคับใช้กฎหมายไว้ชั่วคราว 3-5 ปี โดยเฉพาะในส่วนที่เป็นอำนาจของ กทม.จะทำทันทีใช้พื้นที่ กทม.เป็นพื้นที่นำร่อง สร้าง “Bangkok legal Sandbox” เพื่อให้คนกรุงเทพฯได้กลับมาทำมาหากินได้เร็วที่สุด

โดยเฉพาะที่เกิดกับคนตัวเล็ก และหากคนตัวเล็กอยู่ไม่ได้คนตัวใหญ่ข้าราชการ ทหาร ก็อยู่ไม่ได้เช่นกัน การทำงานของพรรคไทยสร้างไทย คือการสร้างให้คนตัวเล็กสามารถอยู่ได้ มีรายได้อย่างยั่งยืน เราจึงจำเป็นส่งคนลงทำหน้าที่ผู้สมัครผู้ว่าฯกรุงเทพมหานคร เพราะเราเข้าใจปัญหาและต้องการแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนทุกคน

น.ต.ศิธาระบุด้วยว่า ผู้ใหญ่ของบ้านเมืองและผู้ใหญ่ในพรรคการเมือง ต้องดึงเด็กเข้ามามีส่วนร่วม ในการพัฒนาประเทศ เพื่อร่วมกันสร้างประเทศไทยที่ดีที่สุดให้กับลูกหลาน


ขณะที่ พรรคเพื่อไทย เผยแพร่คลิปนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม และหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย โดยในคลิปวิดีโอระบุว่า หากต้องการใช้เพื่อไทยแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ยุติการแช่แข็งกรุงเทพฯ และประเทศไทย วันที่ 22 พฤษภาคมนี้ ต้องเลือก ส.ก. เพื่อไทยให้ชนะถล่มทลายเท่านั้น

พรรคเพื่อไทยขอนำพาพี่น้องออกจากความทุกข์ยาก ตลอดระยะเวลาที่ลงพื้นที่พบปะพี่น้องประชาชนในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดนั้น พบว่าทุกคนสะท้อนถึงปัญหาเดียวกัน นั่นคือปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำจากราคาสินค้าที่สูงขึ้น ซึ่งทำให้ค้าขายไม่ดี รายได้ลดลง สวนทางกับค่าใช้จ่ายที่ดีดตัวขึ้นทุกวัน

ในอดีตพรรคเพื่อไทยเคยทำให้เห็นแล้วว่าการทำให้พี่น้องมีชีวิตที่กินดีอยู่ดีขึ้นมันเป็นยังไง ถ้าอยากจะให้พรรคเพื่อไทยเข้ามาช่วยแก้ปัญหาอีก อยากจะใช้งานพรรคเพื่อไทยอีก 22 พฤษภาคมนี้ มาเลือก ส.ก. เพื่อไทยกันค่ะ ให้ ส.ก. เพื่อไทยได้เข้ามารับใช้พี่น้องประชาชนอีกครั้ง


https://youtu.be/F9wdzDKChQA

คุณอาจสนใจ

Related News