เลือกตั้งและการเมือง

ด่วน! ศาลฎีกาสั่งจำคุก ‘มาโนช – เทพไท’ 2 ปี คดีโกงเลือกตั้ง ตัดสิทธิ์ทางการเมือง 10 ปี

โดย JitrarutP

6 ก.ค. 2565

1.9K views

ด่วน! ศาลฎีกาพิพากษาคดีโกงเลือกตั้ง อบจ.เมืองคอน สั่งจำคุก มาโนช – เทพไท เสนพงศ์ 2 ปี ไม่รอลงอาญา ตัดสิทธิ์ทางการเมือง 10 ปี


จากกรณีคดีมหากาพย์เมืองคอนในคดีโกงเลือกตั้งนายก อบจ.เมืองคอน เมื่อปี 2557 คดีหมายเลขดำที่ 174/2562 หมายเลขแดงที่ 485/2563 ซึ่งศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาจำคุกนายมาโนช เสนพงศ์ จำเลยที่ 1 และนายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ จำเลยที่ 2 คนละ 3 ปี แต่ลดโทษให้ 1 ใน 3 เหลือจำคุกคนละ 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา ตัดสิทธิ์เลือกตั้ง 10 ปี ไม่รอลงอาญา และตัดสิทธิ์ทางการเมือง 10 ปี เมื่อวันที่ 28 ส.ค. 2563 โดยนายมาโนชและนายเทพไท สองพี่น้องผู้ต้องหาได้ยื่นขอประกันตัวและยืนอุทธรณ์สู้คดีในขั้นอุทธรณ์ ศาลนัดฟังคำพิพากษาในวันนี้(11 พ.ค.)



จนต่อมาศาลรัฐธรรมนูญได้มีมติให้นายเทพไท พ้นจากสมาชิกภาพการเป็น ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวันที่ 27 ม.ค. 2564 และศาลได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ยืนตามศาลชั้นต้น จำคุกมาโนช เสนพงศ์ , เทพไท เสนพงศ์ 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา และตัดสิทธิ์ทางการเมือง 10 ปี โดยทันทีทราบคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ นายมาโนช และนายเทพไท สองพี่น้องหน้าถอดสีเล็กน้อยด้วยความวิตกกังวล และให้ทนายรีบเร่งในการดำเนินการขอประกันตัวเพื่อยื่นฎีกาสู้คดีในชั้นศาลฎีกาต่อไป ตามที่เสนอข่าวไปตามลำดับแล้วนั้น



(5 ก.ค.) นายพิชัย บุณยเกียรติ โจทก์ในคดีนี้ กล่าวว่า หลังการพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ยื่นตามศาลชั้นต้นให้จำคุกมาโนช เสนพงศ์ , เทพไท เสนพงศ์ 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา และตัดสิทธิ์ทางการเมือง 10 ปี แต่ แม้ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนทั้ง 2 ท่านจะไม่อนุญาตให้ยื่นฎีกา แต่รองอธิบดีภาค 8 ซึ่งมาร่วมนั่งฟังคำพิพากษาและถือเป็นองค์คณะผู้พิพากษาท่านหนึ่งอนุญาตให้ยื่นฎีกาได้ ในที่สุดศาลก็อนุญาติให้ยื่นฎีกาและอนุญาติให้ประกันตัวตามระเบียบและขั้นตอน โดยล่าสุดศาลจังหงัดนครศรีธรรมราช ได้ส่งเอกสารหมายศาลไปรษณีย์ตอบรับนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาในวนที่ 6 ก.ค. 2565 เวลา 09.00 น. ในวันดังกล่าวตนในฐานะโจทก์ในคดีนี้รวมทั้งจำเลยทั้ง 2 คนคือนายมาโนช เสนพงศ์ และนายเทพไท เสนพงศ์ ต้องเดินทางไปฟังคำพากษาศาลฎีกาที่ศาลจังหวัดนครศรีธรรมราชตามนัด



สำหรับการยื่นฎีกาของจำเลยทั้ง 2 คนสรุปว่าในส่วนที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของจำเลยทั้งสองมีกำหนคสิบปีนับแต่วันที่มีคำพิพากษาและศาลอุทธรณ์กาค 8 พิพากษายืน นั้นจำเลยทั้งสองขอกราบเรียนว่าจำเลยทั้งสองมีอาชีพเป็นนักการเมืองโดยเฉพาะจำเลยที่สองเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสังกัดพรรถประชาธิปัตย์ทำงานการเมืองมานานนับสิบปี การที่ศาลพิพากษาให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของจำเลยทั้งสองมีกำหนดถึงสิบปีนั้นสมือนกับว่าจำเลยทั้งสองถูกพิพากษาลงโทษประหารชีวิตทางการเมืองและไม่อาจกลับมาทำงานการเมืองได้อีกต่อไป



ดังนั้นการที่ศาลจะพิพากษาให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของจำเลยทั้งสองได้นั้นการพิจารณาคดีจะต้องได้ความโดยชัดแจ้งปราศจากขอสงสัยโดยเด็ดขาคว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำความผิดตามฟ้องของโจทก์จริง แต่กรณีของจำเลยทั้งสองในดดีนี้การนำลืบพยานหลักฐานของโจทก์ยังไม่ปรากฎพยานหลักฐานใคที่บ่งชี้ชัดเจนให้รับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดตามฟ้องของโจทก์ดังเหตุผลที่จำเลยทั้งสองได้กราบเรียนมาแล้วข้างต้น.ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของจำเลยทั้งสองมีกำหนดสิบปีนับแต่วันที่มีคำพิพากษาและศาลอุทธรณ์กาค 8  พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นจึงไม่ชอบแต่อย่างใด อาศัยเหตุผลดังที่จำเลยทั้งสองได้กราบเรียนมาแล้วข้างต้น จำเลยทั้งสองจึงขอประทานความกรุณาต่อศาลฎีกาได้โปรดพิจารณาแล้วพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์กาค 8 และพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ด้วย



นายพิชัย กล่างอีกว่า แม้ตนจะหวั่นวิตกกังวลในคดีนี้มาตั้งแต่การได้รับอนุญาตจากรองอธิบดีภาค 8 ให้ยืนฎีกาในคดีนี้ได้ และสรุปสำนวนข้อต่อสู้การยื่นฎีกาให้ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้ง 2 คน ซึ่งในข้อเท็จจริงแทบจะไปเป็นไม่ได้ เพราะคดีนี้ถือว่าผ่านมาถึง 4 ขั้นตอน เริ่มจาก กกต.มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ใบแดง ต่อด้วยศาลอุทธรณ์ภาค 8 คดีผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ชี้ขาดว่าจำเลยทั้ง 2 มีความผิดตาม พ.ร.บ.กฎหมายเลือกตั้งจริง จนนำมาสู่การดำเนินคดีอาญาและศาลชั้นตนพิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องจริง จึงพิพากษาให้จำคุกจำเลยที่ 1 และ จำเลยที่ 2 คนละ 3 ปี แต่ลดโทษให้ 1 ใน 3 เหลือจำคุกคนละ 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา และตัดสิทธิ์ทางการเมือง 10 ปี จนนำมาสู่ศาลฎีกาที่จะพิพากษาในวันที่ 6 ก.ค. นี้ แต่ผมเชื่อด้วยเหตุผลทางกฎหมาย ตามข้อเท็จจริง ตามพยานหลักฐานที่สอดคล้องต้องกัน มีพยานหลักฐานที่มั่นคงต่อเนื่อง สอดคล้องกัน ผมจึงเห็นว่าศาลฎีกาก็คงต้องให้ความเป็นธรรม มีความเที่ยงธรรมและปกป้องผู้ที่สุจริตในการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย



ต่อข้อถามที่ว่าการพิพากษาอาจจะไม่เป็นไปตามที่โจทก์คิดก็ได้ เพราะในทางการเมืองมักมีการพิจารณาตัดสินที่พิสดารคาดไม่ถึงหลายครั้ง นายพิชัย กล่าวว่า ตนก็หวาดหวั่นอยู่เหมือนกันแต่ผมเชื่อในข้อเท็จจริง เชื่อในข้อกฎหมายและเชื่อในความเที่ยงธรรมของศาลฎีกาว่าท่านคงรับฟังและพิจารณาตามพยานหลักฐาน ส่วนที่จำเลยได้ยกเป็นข้อต่อสู้ทั้งหมดและขอให้ศาลฎีกายกฟ้องก็ไม่มีพยานหลักฐานหรือไม่มีน้ำหนักที่ต่อเนื่อง จึงเชื่อว่าศาลคงยึดความถูกต้อง ความเป็นธรรมในคดีนี้ ส่วนจะมีความพิสดารอย่างไรหรือไม่นั้น ผมคงไประบุไม่ได้ก็ต้องรอรับฟังคำพากษาในวันที่ 6 ก.ค. นี้ ซึ่งตนและคนที่ติดตามคดีนี้คงอยากเห็นผู้ที่ได้รักษาระบบการเลือกตั้งมีสุจริตยื่นอยู่บนความถูกต้องตามกฎหมายและได้ต่อสู้ พิสูจน์ตามกระบวนการเพื่อให้นักการเมืองน้ำดี



ผู้สื่อข่าวถามว่ารู้สึกแปลกใจหรือไม่ที่จำเลยทั้งสองยกข้อต่อสู้ขอให้ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องในคดีนี้แทนที่จะขอให้ลดโทษหรือให้รอลงอาญาทั้งที่ผ่านกระบวนการทางยุติธรรมมาแล้วถึง 4 ขั้นตอน  นายพิชัย กล่าวว่าการที่จำเลยให้ศาลฎีกาพิจารณษกลับกลับตัดสินของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ให้ยกฟ้องไปเลยเป็นสิทธิ์ของเขาที่กระทำได้ และท่านผู้พิพากษาจะพิจารณาเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ คือ 1. พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ 2. ศาลฎีกาพิพากษากลับให้ยกฟ้องในคดีนี้  แต่หากพิพากษากลับยกฟ้องศาลต้องมีเหตุผลข้อเท็จจริงในทางกฎหมายมารองรับพอสมควร แต่โดยกรอบที่ผ่านมาทั้ง 4 ขั้นตอนแล้ว จึงเชื่อในความสุจริต ความถูกต้อง และความเป็นธรรม เที่ยงธรรมของกระบวนการยุติธรรมว่าศาลฎีกาจะยึดถือหลักตามที่กราบเรียนมาแล้วข้างต้น นายพิชัย กล่าวย้ำ.



โดยมีรายงานว่า ทั้งสองคนมาฟังคำพิพากษาด้วยตัวเอง และยอมรับคำตัดสิน ซึ่งเจ้าหน้าที่จะนำตัวทั้งสองคนไปเข้าเรือนจำต่อไป

























คุณอาจสนใจ

Related News