ระทึก! รถบรรทุกระเบิดบนสะพานรัสเซีย-ไครเมีย เกิดไฟไหม้รุนแรง ดับ 3 ศพ

ภาพจากกล้องวงจรปิด ที่ติดตั้งอยู่บนสะพานเคิร์ช (Kerch) สะพานที่ยาวที่สุดในยุโรปที่เชื่อมระหว่างรัสเซียกับไครเมีย เผยให้เห็นวินาทีขณะที่รถบรรทุกคันหนึ่งกำลังวิ่งไปบนสะพาน และ เกิดระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง



แรงระเบิดได้ทำให้เกิดไฟไหม้อย่างหนักบนสะพาน มีกลุ่มควันสีดำพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า รวมถึง ทำให้ตู้เชื้อเพลิง 7 ตู้ จากทั้งหมด 59 ตู้ ของรถไฟบรรทุกเชื้อเพลิงที่วิ่งอยู่ในบริเวณที่เกิดเหตุเกิดติดไฟด้วย



นอกจากนี้ แรงระเบิดยังทำให้สะพานบางส่วนพังถล่มลงมา ส่งผลให้การจราจรสะพานต้องหยุดชะงักทันที



ด้านเจ้าหน้าที่ฝ่ายสอบสวนของรัสเซียระบุว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 3 คน ซึ่งทั้งหมดอยู่บนรถยนต์ที่วิ่งอยู่ใกล้กับรถบรรทุกที่เกิดระเบิด



ภายหลังเหตุการณ์ดังกล่าว ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย ได้สั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน เพื่อหาสาเหตุอย่างละเอียด และยังลงคำสั่งให้มีการรักษาความปลอดภัยสะพานอย่างเข้มงวดเพิ่มมากขึ้น รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานเกี่ยวกับไฟฟ้าและก๊าซธรรมชาติอื่น ๆ ที่ส่งไปยังคาบสมุทรไครเมีย



อย่างไรก็ดี จนถึงขณะนี้ ยังไม่แน่ชัดว่า เหตุระเบิดดังกล่าวเกิดขึ้นจากการโจมตีโดยเจตนาหรือไม่



หลังจากที่ปิดการจราจร ประมาณ 10 ชั่วโมง ทางการรัสเซียได้กลับมาเปิดให้ประชาชนสัญจรผ่านสะพานตามปกติอีกครั้ง ทั้งทางรถยนต์และรถไฟ นอกจากนี้ ยังมีคำสั่งให้ทำลายสะพานส่วนที่เสียหายทิ้งทันที



ส่วนทางยูเครน ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ยังไม่พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยตรง แต่กล่าวเพียงว่า ไครเมียกำลังมีเมฆปกคลุมหนาแน่น แม้ว่าจะมีอากาศที่ค่อนข้างอบอุ่นและแดดจัดก็ตาม



ขณะเดียวกัน หลังจากที่ทราบข่าวว่าเกิดเหตุระเบิดบนสะพานเคิร์ชและมีสะพานบางส่วนพังถล่มลงมา ชาวยูเครนที่อาศัยอยู่ในกรุงเคียฟก็บอกว่า พวกเขารู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก บางคนออกมาถ่ายภาพกับภาพจำลองของเหตุการณ์ระเบิดบนสะพาน



ทั้งนี้ สะพานเคิร์ช ตั้งอยู่บริเวณช่องแคบเคิร์ช ที่เชื่อมต่อระหว่างทะเลดำและทะเล "อซอฟ" (Azov) มีความยาว 19 กิโลเมตร ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซียมาเป็นประธานเปิดใช้งานสะพานเมื่อปี 2561 หลังจากที่ผนวกไครเมียเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียได้เพียง 4 ปี



และก่อนหน้านี้ กองกำลังยูเครนเคยบอกว่า สะพานเคียร์ชเป็นเป้าหมายสำคัญที่จะต้องถูกโจมตี เนื่องจากเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์สำคัญของรัสเซีย ซึ่งรัสเซียใช้เป็นเส้นทางการขนส่งและเคลื่อนย้ายอุปกรณ์ทางทหารเข้ามาในยูเครนทางตอนใต้