'ไบเดน' ลุยหนัก ประกาศแบนน้ำมันรัสเซีย ห้ามนำเข้า ทำราคาน้ำมันพุ่งขึ้นอีก

ประธานาธิบดี โจ ไบเดน แห่งสหรัฐอเมริกา ประกาศห้ามนำเข้าน้ำมันและพลังงานอื่นๆ ของรัสเซีย เพื่อตอบโต้การรุกรานยูเครน แม้ว่าไบเดนจะยอมรับว่า จะทำให้ราคาพลังงานของสหรัฐฯ สูงขึ้นก็ตาม

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวของนายไบเดน เป็นไปตามคำร้องขอของประธานาธิบดียูเครน นายโวโลดีมีร์ เซเลนสกี ถึงเจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯ และชาติตะวันตก ในการยุติการนำเข้าน้ำมันของรัสเซีย โดย โจ ไบเดน กล่าวว่า ชาวอเมริกันจะประสบราคาเพิ่มขึ้น และบอกว่า “การปกป้องเสรีภาพจะต้องมีค่าใช้จ่าย”

ไบเดนกล่าวที่ทำเนียบขาวว่า “เรากำลังห้ามนำเข้าน้ำมันและพลังงานก๊าซของรัสเซียทั้งหมด นั่นหมายความว่า น้ำมันของรัสเซียจะไม่เป็นที่ยอมรับในท่าเรือของสหรัฐฯ อีกต่อไป และชาวอเมริกันจะจัดการกับการโจมตีที่ทรงพลังอีกครั้งต่อเครื่องจักรสงครามของ (ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์) ปูติน”  

การห้ามใช้น้ำมันของรัสเซียและการนำเข้าพลังงานอื่นๆ ของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ในการตอบโต้การรุกรานยูเครนจะมีผลบังคับใช้ทันที

ทั้งนี้ ตามรายงานของสำนักงานข้อมูลพลังงานของสหรัฐฯ พบว่า สหรัฐฯ นำเข้าน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์กลั่นจากต่างประเทศราว 20.4 ล้านบาร์เรลต่อเดือน เป็นน้ำมันจากรัสเซียประมาณ 8% ของน้ำมันที่สหรัฐฯ นำเข้าทั้งหมดเท่านั้น ซึ่งถือว่าไม่มากนัก แต่ก็คาดว่าการห้ามนำเข้าดังกล่าวจะทำให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นอีก และจะฉุดอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐฯ ให้สูงขึ้นด้วย ซึ่งปัจจุบันอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ อยู่ที่ราว 7% แล้ว  

ล่าสุด ความเคลื่อนไหวของสหรัฐฯ ครั้งนี้ ทำให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกพุ่งสูงขึ้นอีก โดยราคาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ลอนดอน ปรับขึ้น 3.9% ไปอยู่ที่ 127.98 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาเรลล์แล้ว ส่วนน้ำมันดิบเบาที่ตลาดไนเม็กซ์ของนิวยอร์ก ปรับขึ้น 3.60% ปิดที่ 123.70 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาเรลล์

ทางด้าน ประธานาธิบดี โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน ได้โพสต์ข้อความผ่านทางทวิตเตอร์ทันที ขอบคุณสหรัฐฯ และประธานาธิบดีแห่งสหรัฐฯ ในการเป็นผู้นำที่จะเปิดฉากโจมตีหัวใจเครื่องจักรสงครามของปูติน ด้วยการแบนน้ำมันจากรัสเซีย รวมไปถึงแบนก๊าซธรรมชาติ และถ่านหินด้วย ซึ่งจะทำให้ประเทศอื่นๆ เคลื่อนไหวตามมา