บันเทิง

ลูกชายยัน 'ดีเจแหบ' ไม่ได้ตายเพราะมะเร็งปอด คาใจ รพ.เอกชน ไม่มีความพร้อมรับมือเหตุฉุกเฉิน

โดย thichaphat_d

29 เม.ย. 2565

180 views

การเสียชีวิตของ ‘นายวิทยา ศุภพรโอภาส’ หรือ ‘เสี่ยแหบ’ นักจัดรายการวิทยุ และเป็นผู้บุกเบิกวิทยุลูกทุ่ง เอฟเอ็ม ที่เสียชีวิตหลังเข้ารับการผ่าตัดที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง เมื่อวันที่ 3 เมษายนที่ผ่านมา ก่อนจะเสียชีวิตลง เมื่อวันที่ 18 เมษายน ในวัย 72 ปี  ซึ่งตอนนี้ครอบครัวตั้งศพบำเพ็ญกุศลอยู่ที่ ที่ศาลาเมรุ วัดราชวรินทร์ เขตธนบุรี


วานนี้ (28 เม.ย. 65) เมื่อเวลา 16.20 น. ที่ศาลาเมรุ วัดราชวรินทร์ ฝั่งธนบุรี นายศุภวิทย์ ศุภพรโอภาส หรือเป้ บุตรชายเสี่ยแหบ พร้อมด้วย ทนายความของครอบครัว ร่วมกันแถลงข่าวความคืบหน้าสาเหตุการตายของบิดา หลังครอบครัวและสังคมเคลือบแคลงสงสัยในมาตรการ การรักษาของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่ง ซึ่งอาจเป็นเหตุให้ นายวิทยา ถึงแก่ความตายด้วยโรคมะเร็งปอด ที่ รพ.จุฬาลงกรณ์ เมื่อวันที่ 18 เม.ย.ที่ผ่านมา  


นายศุภวิทย์ กล่าวว่า ตนยืนยันว่าคุณพ่อไม่ได้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอดแต่อย่างใด วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่จะมีการตั้งศพสวดพระอภิธรรมก่อนดำเนินการเก็บไว้ 100 วัน เพื่อรอการจัดการต่อไป ก่อนอื่นต้องขอชี้แจงให้ฟังว่า เมื่อ 5 ปีที่แล้ว คุณพ่อเคยตรวจพบมะเร็งลำไส้ขั้นที่ 1 เข้ารับการทำคีโมและผ่าตัดรักษาตัวกับทีมแพทย์ รพ.เอกชนชื่อดังแห่งหนึ่ง จนหายขาดมาแล้วครั้งหนึ่ง


จนกระทั่งเมื่อเดือน มี.ค.2564 คุณพ่อมีอาการไอปนเลือดออกมา ทีแรกแพทย์ รพ.เอกชน วินิจฉัยว่า เป็นเพราะกล่องเสียงอักเสบและมีแผลเนื่องจากคุณพ่อใช้เสียงมามาก จากนั้นก็นำคุณพ่อเอ็กซเรย์ปอดตามกระบวนการรักษา ปรากฏพบก้อนเนื้อเป็นจุดที่ปอดทั้ง 2 ข้าง เบื้องต้นแพทย์วินิจฉัยว่า เป็นมะเร็งปอดขั้นแรก จึงวางแผนการรักษาต่อเนื่องด้วยการทำคีโม อีก 8 ครั้ง จนก้อนเนื้อฝ่อลง


นายศุภวิทย์ กล่าวอีกว่า จนกระทั่งเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา แพทย์ให้คำแนะนำว่า หากอยากมั่นใจอยากให้หายขาด ขอให้ทำการผ่าตัดนำก้อนเนื้อทั้ง 2 ก้อน ออกจากปอด โดยแพทย์ยืนยันว่าจะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้อีก 10 ปี คุณพ่อและตนรวมถึงญาติๆ ก็ตกลง โดยช่วยกันเตรียมร่างกายก่อนเข้ารับการผ่าตัด


จนถึงวันที่ 3 เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันนัดทำการผ่าตัด คุณพ่อเตรียมเป้แบกเข้าโรงพยาบาลไปด้วยอาการแข็งแรงปกติไม่เหมือนคนป่วย คุณพ่อยังบอกตนด้วยว่า รอเดี๋ยวเดียวจะกลับออกมา การดำเนินการผ่าตัดวันนั้นใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง


จนเวลาบ่ายสาม ทางโรงพยาบาลโทรศัพท์มาบอกตนว่า ยังไม่สามารถเยี่ยมได้เพราะต้องรอดูอาการในห้องไอซียู เสียก่อน 24 ชั่วโมง ซึ่งระหว่างนั้นก็มีแพทย์ที่เป็นญาติกันเข้าไปเยี่ยมส่งข่าวออกมาบอกเช่นกันว่า คุณพ่อรู้สึกตัวดีทักทายกันได้ตามปกติและขอให้ตนกับญาติไปเยี่ยมได้ที่ห้องพิเศษในวันรุ่งขึ้นคือวันที่ 4 เม.ย. 2565


พอตีสาม วันที่ 4 เม.ย.กลับมีโทรศัพท์จากห้องไอซียู รติดต่อมาหาตน แจ้งว่า คุณพ่ออาการทรุดลง ตนจึงรีบเดินทางไปที่โรงพยาบาลทันที พบว่าทีมแพทย์กำลังช่วยกันยื้อสัญญาณชีพกันอยู่ จากนั้นมีตัวแทนทีมแพทย์ที่ให้การรักษามาบอกตนว่า คุณพ่อมีเลือดออกจากปอดต้องใช้เครื่องพยุงปอดและหัวใจ (ECMO) ที่จำเป็นต้องหยิบยืมมาจาก รพ.จุฬาลงกรณ์


โดยหลังจากนั้นจะต้องนำตัวคุณพ่อไปรักษาต่อที่ รพ.จุฬาลงกรณ์ ด้วย ตนก็รอจนถึง 07.00 น. กว่าเครื่องจะถูกส่งมา และในเวลา 12.00 น.ของวันเดียวกันคุณพ่อก็ถูกส่งตัวจาก รพ.เอกชน ไปรักษาตัวต่อที่ รพ.จุฬาลงกรณ์


นายศุภวิทย์ กล่าวต่อไปว่า ช่วงบ่ายหลังจากที่คุณพ่อถูกนำตัวส่งถึง รพ.จุฬาลงกรณ์ แล้ว มีแพทย์มาแจ้งให้ทราบว่าเมื่อช่วงกลางดึกที่ผ่านมา ระหว่างที่คุณพ่อ รอดูอาการอยู่ที่ไอซียู รพ.เอกชน จู่ๆ ก็เกิดภาวะหายใจลำบาก ทางทีมแพทย์ห้องไอซียู จึงสอดท่อช่วยหายใจเข้าไปทำให้ปอดแตก ทั้งที่เพิ่งผ่าตัดปอดมาหมาดๆ ทำให้ทาง รพ.เอกชน ต้องทำเรื่องขอยืม เครื่องพยุงปอดและหัวใจ (ECMO) และส่งต่อคุณพ่อมารักษากับทาง รพ.จุฬาลงกรณ์


นอกจากนั้นแพทย์ยังบอกด้วยว่า หากรักษาหายดีแล้วคุณพ่อจะไม่ได้กลับมาเหมือนเดิม เนื่องจาก 1.สมองขาดออกซิเจนไปเลี้ยงนานมากแล้วทำให้สมองตาย 

2.จะต้องทำการตัดแขนซ้ายออก เนื่องจากเนื้อเยื่อแขนซ้ายตาย จากผลการรักษาด้วยอุปกรณ์ขณะกู้สัญญาณชีพ

ถึงอย่างนั้นก็ตามตนและญาติๆ ก็ยังรอปาฏิหาริย์ แม้ว่าจะต้องสูญเสียแขนซ้ายของคุณพ่อไปก็ตาม


การดำเนินการรักษาดำเนินมาถึงวันที่ 18 เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งก็คือวันที่คุณพ่อเสียชีวิต หลังการตายตนกับญาติๆ ได้ตั้งข้อสงสัยไปถามทาง รพ.เอกชน จำนวน 4 ข้อ คือ

1. ทาง รพ.ผ่าตัดคุณพ่ออย่างไรมีความพร้อมแค่ไหนในการรับมือภาวะวิกฤติ

2. คุณพ่อรู้สึกตัวดีแล้วหลังผ่าตัดแล้วทำไมจึงเกิดภาวะวิกฤติขึ้นได้

3. เมื่อเกิดวิกฤติขึ้นแล้วทาง รพ.ช่วยเหลืออย่างถูกต้องหรือไม่ ทำไมทำให้คุณพ่อปอดฉีกทั้งที่เพิ่งผ่าตัดปอดออกมา

4. เมื่อรู้อยู่แล้วว่าอาจเกิดวิกฤติจนต้องใช้ เครื่องพยุงปอดและหัวใจ (ECMO) เหตุใดทาง รพ.ไม่เตรียมการไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ทว่าทาง รพ.กลับทำได้แค่แสดงความเสียใจตอบปัดความรับผิดชอบโดยให้เหตุผลว่า ปฏิบัติตามมาตรฐานทุกอย่างเป็นอย่างดีแล้ว"


ขณะที่ นายธงชัย พรเศรษฐ์ ทนายความซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากครอบครัว กล่าวว่า ตนเก็บรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดเอาไว้แล้ว โดยเฉพาะค่ารักษาพยาบาลที่ รพ.เอกชน เรียกเก็บในราคา 2.7 ล้านบาท ขอยืนยันว่า สาเหตุการตายของนายวิทยา ที่แพทย์ชันสูตรเบื้องต้น และระบุในมรณบัตรนั้นเกิดจากภาวะสมองตาย ไม่ใช่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอดแต่อย่างใด


นายวิทยา ไม่ใช่ผู้ป่วยวิกฤติที่มีโอกาสเสียชีวิตในระหว่างผ่าตัด เนื่องจากทางเจ้าตัวและทางโรงพยาบาลมีการวางแผนก่อนเข้ารับการผ่าตัดยาวนานถึง 7-8 เดือน ที่สำคัญ ในวันที่เข้ารับการผ่าตัดเสร็จสิ้นแล้วยังรู้สึกตัวดี สื่อสารกับคนใกล้ชิด และบุคลากรในห้องไอซียูได้


หลังจากนี้ทาง รพ.เอกชน ต้องตอบคำถามญาติ ให้ได้ก่อนว่า เมื่อเกิดวิกฤติกับนายวิทยาแล้ว ทางโรงพยาบาลรักษากันอย่างไร ซึ่งผู้ป่วยอายุ 72-73 ปี ที่จะเข้ารับการผ่าตัดนั้นจะต้องมีมาตรการเตรียมการที่ดีไม่ใช่ว่าจะต้องทำเรื่องหยิบยืมเครื่องมือจากทาง รพ.รัฐบาลระหว่างให้การรักษาแบบนี้


โดยหลังจากนี้จะรอผลการผ่าชันสูตรจากแพทย์ รพ.จุฬาลงกรณ์ อย่างละเอียดส่งมาอีกครั้งก่อนดำเนินการตามที่ญาติสั่งการต่อไป


รับชมผ่านยูทูปได้ที่ : https://youtu.be/OoQZV5AoS5I

คุณอาจสนใจ

Related News