เศรษฐกิจ
พลังเม่า หยุดเทรด 1 วัน ค้านเก็บภาษีขายหุ้น คลังยันลุยเก็บต่อ ชี้ยังเก็บน้อยกว่าหลายประเทศ
โดย nattachat_c
8 ธ.ค. 2565
579 views
จากกรณี วันที่ 29 พ.ย. 2565 ที่ประชุม ครม.มีมติ 'จัดเก็บภาษีขายหุ้น' (Financial Transaction Tax ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย) โดย
- 1 มิ.ย. 66 เก็บ 0.055%
- 1 ม.ค. 67 เป็นต้นไป เก็บ 0.11%
โดยคาดว่าจะเพิ่มรายได้ให้รัฐปีละ 15,000 - 16,000 ล้านบาท
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยกับนโยบายการเก็บภาษีขายหุ้น และยังยืนยันว่าไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม
รัฐบาลควรทบทวนมติดังกล่าว เนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอย ประเทศในตลาดเกิดใหม่จะเกิดปัญหา ซึ่งส่งผลต่อสภาพคล่องโดยรวมอยู่แล้ว การเก็บภาษีขายหุ้นจะยิ่งไปซ้ำเติมปัญหาสภาพคล่องขึ้นไปอีก
ในวันนี้ (8 ธ.ค. 65) นักลงทุนรายย่อยจะรวมตัวกันหยุดเทรด (หยุดการซื้อขาย) เพื่อประท้วงนโยบาย
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงกรณีที่สภาธุรกิจตลาดทุนเตรียมยื่นหนังสือคัดค้านนโยบายการเก็บภาษีขายหุ้นของรัฐบาลว่า ยังไม่ได้รับหนังสือดังกล่าว
ซึ่งเรื่องดังกล่าวเป็นนโยบายที่กระทรวงการคลังได้เสนอและผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) เรียบร้อยแล้ว โดยในรายละเอียดของแนวทางและวัตถุประสงค์การจัดเก็บ ทางกระทรวงการคลังก็ได้อธิบายไปหมดแล้ว
กรณีที่นักลงทุนรายย่อยจะประท้วงต่อนโยบายดังกล่าวด้วยการหยุดการซื้อขายหุ้นนั้น นายอาคมกล่าวว่า เรื่องดังกล่าวเราคงไปห้ามเขาไม่ได้ ทั้งนี้ แนวทางการจัดเก็บภาษีก็เป็นในแนวทางเดียวกันกับหลายประเทศ และไม่ได้จัดเก็บในอัตราที่เกินกว่าหลายประเทศจัดเก็บ ดังนั้น กระทรวงการคลังยังคงเดินหน้าในการจัดเก็บภาษีดังกล่าวต่อไป
-------------
สำหรับร่างกฎหมายภาษีขายหุ้นนั้น ได้มีการยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ ให้แก่
1.ผู้ดูแลสภาพคล่อง (มาร์เก็ต เมคเกอร์) ที่ได้ขึ้นทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์ฯ เฉพาะการขายหลักทรัพย์ที่บุคคลนั้นได้ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ดูแลสภาพคล่องของหลักทรัพย์นั้น
2.สำนักงานประกันสังคม
3.กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
4.กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ
5.กองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน
6. กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ
7.กองทุนการออมแห่งชาติ
8. กองทุนรวมที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เพื่อขายหน่วยลงทุนในกองทุนรวมแก่สำนักงานประกันสังคมหรือกองทุนตามข้อ 3 -7 เท่านั้น
-------------
วานนี้ (7 พ.ย. 65) นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง “Thailand Insights 2023: Unlocking the Future” ว่า
กระทรวงการคลังยังตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนรายได้ต่อจีดีพีให้อยู่ในระดับ 16% ในระยะ 5 ปีข้างหน้า เพื่อสร้างความยั่งยืนทางการคลัง หลังจากที่สัดส่วนรายได้ต่อจีดีพีได้ทยอยปรับลดลงต่ำกว่าศักยภาพของประเทศจาก 17% ในปี 2556 มาอยู่ที่ 14.9% ในปี 2564
เราจะทำให้สัดส่วนรายได้ต่อจีดีพีที่ทยอยปรับลดลงนั้น ปรับขึ้นมาให้ได้ โดยการปฏิรูปการจัดเก็บรายได้ผ่านการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บและการขยายฐานภาษีจะทำให้สัดส่วนรายได้ต่อจีดีพีกลับมาอยู่ที่ประมาณ 16% ในระยะ 5 ปีข้างหน้า
-------------
รับชมทางยูทูบที่ : https://youtu.be/y5P_gPdOmwM