อาชญากรรม

"ชูวิทย์" แฉผังขบวนการทุนจีน จี้สั่งย้ายจนท.-ตม.- 5 เสือโรงพักเอี่ยวคดี"ตู้ห่าว"

โดย paranee_s

10 ม.ค. 2566

140 views

เมื่อเวลา 14.00 น. นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง แถลงข่าวหลังจากเมื่อวานนี้ (9 ม.ค.) ได้เข้าพบพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อพูดคุยเรื่องการดำเนินการกับกลุ่มทุนจีนสีเทา รวมถึงสอบถามเรื่องข้อสงสัยที่หลานของพลเอกประยุทธ์ ไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจทัวร์ของนายตู้ห่าว


โดยนายชูวิทย์ ยืนยันว่า ทุกสิ่งที่ตนทำ ไม่มีเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ตนทำในฐานะประชาชนตัวคนเดียวที่สู้เรื่องนี้มาโดยตลอด


นายชูวิทย์ ได้ไล่ลำดับไทม์ไลน์การออกมาพูดเรื่องกลุ่มทุนจีนสีเทาของตนเอง


เริ่มต้นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2565 วันที่ 13 ก.ค.

- 26 ต.ค. 65 ได้มีเรื่องการตรวจค้นผับจินหลิงเกิดขึ้น ตามด้วยการดำเนินการกับ 5 เสือจีนเทา และการขยายผลจับกุมต่อเนื่อง

- 17 พ.ย. 65 ตนได้เปิดเผยเรื่องเครื่องบินส่วนตัวของนายตู้ห่าว

- 21 พ.ย. 65 ยื่นเรื่องต่อกระทรวงยุติธรรมเพื่อขอให้รับคดีนายตู้ห่าวเป็นคดีพิเศษ เนื่องจากตำรวจไม่ยอมออกหมายจับนายตู้ห่าว

- 22 พ.ย. 65 จะออกหมายจับนายตู้ห่าว

- 23 พ.ย. 65 นายตู้ห่าวมอบตัว

- 9 ธ.ค. 65 ไปยื่นเรื่องต่ออัยการสูงสุดให้รับคดีนี้เป็นคดีข้ามชาติ

- 13 ธ.ค. 65 กองบัญชาการตำรวจนครบาลยื่นเรื่องต่ออัยการสูงสุดให้รับพิจารณาเป็นคดีข้ามชาติ

- 14 ธ.ค. 65 อัยการสูงสุดมีคำสั่งตั้งคณะกรรมการรับพิจารณาเป็นคดีสำคัญข้ามชาติ

- 16 ธ.ค. 65 ตนไปทานข้าวกับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และพูดถึง ป.ป.ง. ว่าที่ผ่านมาไม่ได้แจ้งข้อหาฟอกเงินกับนายตู้ห่าว

- 24 ธ.ค. 65 มีการแจ้งข้อหาฟอกเงิน แต่แจ้งกับเครือข่ายคนอื่น ๆ ไม่แจ้งนายตู้ห่าว

- 27 ธ.ค. 65 ตำรวจ พร้อม ป.ป.ส. และอัยการ ได้เข้าตรวจค้นผับจินหลิงอีกครั้ง

- 28 ธ.ค. 65 ตนเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีมากำกับดูแลคดีทุนจีนสีเทา

- 5 ม.ค. 66 ตนแถลงข่าวเรื่องที่หลานนายกรัฐมนตรีไปเกี่ยวข้องกับบริษัทรถทัวร์ของนายตู้ห่าว


ซึ่งไทม์ไลน์ทั้งหมด นายชูวิทย์ให้ตั้งข้อสังเกตว่า เจ้าหน้าที่ทำงานตามหลังที่ตนออกมาเคลื่อนไหวตลอด จึงนำมาไล่เรียงอีกครั้งเพื่อให้เห็นว่าตนจำเป็นต้องทำ หลาย ๆ อย่าง เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ซึ่งใครจะมาว่ามาโทษตน ก็ยอมรับ


จากนั้น นายชูวิทย์ ได้เปิดคลิปวิดีโอจากกล้องวงจรปิดภายในผับจินหลิง ซึ่งปรากฏภาพพนักงานไม่น้อยกว่า 10 คน และบุคคลอื่น ๆ เดินไปมาจำนวนมาก ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ผับจินหลิง ไม่ได้มีพนักงานแค่ 10 กว่าคนตามที่ถูกกล่าวอ้าง และไม่สอดคล้องกับจำนวนพยานในสำนวนคดีที่เหลือพนักงานเสิร์ฟเพียง 2 คน ไม่มีพยานที่เป็นหญิงขายบริการ หรือบุคคลอื่นๆ ในที่เกิดเหตุอีก


เรื่องพยานที่หายไปจะเชื่อมโยงกับจำนวนคนจีนที่ถูกกักไว้ที่ ตม. จากตอนแรกที่มี 77 คน ซึ่งนายชูวิทย์บอกว่า ตอนนี้เหลือเพียง 10 คน ส่วนตัวการสำคัญของขบวนการผับจินหลิงก็หนีขึ้นเครื่องบินส่วนตัวไปหมดแล้ว โดยตำรวจเป็นคนปล่อยตัวเอง


ทั้งหมดนี้คือความผิดปกติในการทำงานของตำรวจ แต่ปรากฏว่า การโยกย้ายตำรวจที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีผับจินหลิงของพลตำรวจโทธิติ แสงสว่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลกลับเพิ่งมีคำสั่งย้ายผู้กำกับการ สน.ยานนาวา ไปเพียงคนเดียว ซึ่งตนมองว่า ควรมีคำสั่งย้ายเจ้าหน้าที่ทุกระดับไปจนถึง 5 เสือโรงพัก (ตำรวจระดับผู้บังคับบัญชาในสถานี) ด้วย รวมถึงจุดเริ่มต้นที่ทำให้กลุ่มจีนสีเทาเข้ามาได้ก็คือ ตม.


นายชูวิทย์ได้ตั้งคำถามว่าผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รวมถึงพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้มีการดำเนินการอะไรหรือยัง


ส่วนคลิปที่ 2 เป็นคลิปกล้องวงจรปิดบริเวณประตูทางเข้าออกผับจินหลิง มีพนักงานคอยตรวจค้นร่างกาย ซึ่งจากภาพ พนักงานจะละเว้นการค้นตัวของนายหยางเฉิน หลานชายนายตู้ห่าว แม้จะเห็นว่าถือซองสีขาวที่นายชูวิทย์ตั้งข้อสงสัยว่าซองดังกล่าวเป็นซองที่บรรจุยาเสพติด


ขณะที่ในภาพจะเห็นว่า พนักงานจะตรวจค้นอย่างละเอียดกับนักท่องเที่ยว ซึ่งหนึ่งในนั้นพบยาเสพติดที่ตัว ในคลิปพนักงานที่ตรวจได้เรียกผู้ดูแลผับมาพูดคุย ก่อนจะอนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าไปในผับได้โดยไม่ดำเนินการอะไร


ต่อมานายชูวิทย์ ได้เปิดแผนผังขบวนการผับจินหลิงที่มีนายตู้ห่าวเป็นหัวหน้าขบวนการสูงสุด และมีผู้ร่วมขบวนการรายสำคัญแยกย่อยออกมารวม 10 คน หลัก ๆ มีการแบ่งหน้าที่กันดูแลทั้งเรื่องเงิน และเรื่องยาเสพติด ซึ่งแผนผังนี้แสดงให้เห็นว่า สิ่งที่ตำรวจทำอยู่ตอนนี้ คือการดำเนินการกับนายตู้ห่าว และเปิดเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น หากไม่มีนายตู้ห่าว ขบวนการนี้ก็ยังมีอีกหลายคน ดังนั้น จึงจำเป็นต้องดำเนินการกับทั้งขบวนการทุนจีนสีเทา


นายชูวิทย์ กล่าวต่อว่า ขบวนการทั้งหมดนี้ ตนสามารถสรุปได้ว่า ทั้งหมดคือเครือข่ายทุจริตคอรัปชันต่อสังคมไทย ที่นายตู้ห่าวทำคนเดียวไม่ได้ แต่พบว่ามีผู้สนับสนุน ได้แก่ ตำรวจ, หน่วยงานรัฐ และนักการเมือง ดังนั้น จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมตอนนี้ ส.ส. ทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลถึงยังเงียบอยู่


ทั้งที่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีผลกระทบมาก หากไม่ใช่อย่างที่ตนพูดจริง ก็ขอให้การอภิปรายในรัฐสภาครั้งต่อไป มีการนำเรื่องนี้ไปพูดด้วย ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองฝ่ายใดก็ตาม


ส่วนเรื่องที่เมื่อวานนี้ นายชูวิทย์ได้เข้าไปพูดคุยส่วนตัวกับพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หลังจบงานพรรครวมไทยสร้างชาติ นายชูวิทย์ กล่าวว่า ตนมีโอกาสได้พูดคุยกับนายกฯ เป็นเวลา 15 นาที โดยได้อธิบายถึงความสำคัญที่ต้องดำเนินการกับกลุ่มทุนจีนสีเทา และได้บอกไปว่า ขณะนี้พลเอกประยุทธ์ มีสถานะเป็นนักการเมือง จะแสดงบทบาทแบบเดิมไม่ได้ การเป็นนักการเมืองต้องเรียนรู้ที่จะรับฟังประชาชน


ซึ่งพลเอกประยุทธ์ก็แสดงทีท่ารับฟังตน ทำให้ตนมองพลเอกประยุทธ์เปลี่ยนไป มองเป็นนักการเมืองมากขึ้น และหากพลเอกประยุทธ์จะเลือกเดินทางนี้แล้ว ก็ต้องดำเนินการตามที่ประชาชนอย่างตนร้องขอ โดยพลเอกประยุทธ์ ก็รับปากว่าจะดำเนินการให้เร็วที่สุด แต่ขอให้เข้าใจเงื่อนไขว่าทุกอย่างมีขั้นตอน


ณ ตอนนี้ การได้พูดคุยเท่านี้ ตนถือว่าพอใจในท่าทีของพลเอกประยุทธ์ แต่ตนก็จะเดินหน้าทำในส่วนของตนต่อไป


คุณอาจสนใจ

Related News