อาชญากรรม
ทลายแก๊งหัวใส! เป็นลูกน้อง Call Center ในต่างแดนเพื่อนบ้าน ได้โพยมาทำ ก่อนผันตัวมาเปิดเองในไทย
โดย kanyapak_w
5 ธ.ค. 2565
745 views
บิ๊กเด่นส่งทีม PCT ทลายกลุ่ม startup คอลเซ็นเตอร์เมืองไทย หลังจิ๊กโพยของบอสจากประเทศเพื่อนบ้าน ข้ามกลับมาเปิดเองในประเทศไทยได้ 2 เดือน
ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ให้ความสำคัญในเรื่องการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์นี้เป็นอันดับหนึ่งเพราะสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชน โดยล่าสุด ทีมนักวิเคราะห์แผนประทุษกรรมของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. มือปราบคอลเซ็นเตอร์ได้วิเคราะห์ข้อมูลพบแก๊งคอลเซ็นเตอร์กลุ่มใหม่เกิดขึ้นในข้อมูลระบบการรับแจ้งความออนไลน์ ชักชวนให้ลงทุนและทำภารกิจ ภายใต้บริษัทปลอมที่ใช้ชื่อว่า E-SHIPING.SHOP
พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ฯ จึงได้สั่งการให้ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. ในฐานะหัวหน้าชุด ศปอส.ตร. (PCT) ชุดที่ 5 ดำเนินการสืบสวนจนทราบว่าแก๊งดังกล่าวอยู่ในประเทศไทย ซึ่งตามปกติจะอยู่ฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน จนสืบสวนทราบถึงสถานที่ตั้งก่อนนำกำลังบุกทลาย ภายในคอนโดย่าน ต.ท้ายบ้านใหม่ อ.เมือง จว.สมุทรปราการ มีผู้ร่วมขบวนการภายในห้องมีจำนวน 4 คน ตรวจยึดคอมพิวเตอร์ 3 เครื่อง โทรศัพท์มือถือจำนวน 9 เครื่อง สมุดบัญชีจำนวน 5 เล่ม ซิมการ์ดโทรศัพท์ 38 ซิม จากการตรวจสอบพบว่าข้อมูล รูปแบบการหลอกลวงเรียกได้ว่าถอดแบบมาจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่อยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งท้ายสุด หนึ่งในผู้ร่วมขบวนการได้ยอมรับว่าได้นำความรู้ นำ Knowhow ที่ได้จากการไปทำในประเทศเพื่อนบ้านกลับมาทำเอง เพราะคิดว่าตัวเองมีความรู้ระดับอาจารย์ไม่จำเป็นที่จะต้องไปทำในประเทศเพื่อนบ้านเพื่อรับเปอร์เซ็นต์จากคนจีนแค่ 3% โดยวาดฝันไว้ว่าตนเองจะเป็นผู้ก่อตั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ของคนไทยเจ้าแรก และจะเป็น Start Up เพื่อขยายกิจการในประเทศไทย แต่ทำได้เพียง 2 เดือนก็มาถูกจับเสียก่อน
เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. 65 เวลาประมาณ 13.00 น. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น./ หน.ชุดปฏิบัติการ PCT ที่ 5 พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง พ.ต.ท.ชัยวัฒน์ จงเจริญ พ.ต.ต.คณิตนนท์ ถนอมศรี ร.ต.อ.วุฒินันท์ คงดี ร.ต.อ.ปรมา ปราณี ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ศปอส.ตร. (PCT) ชุดที่ 5 ร่วมกับชุดลาดตระเวนออนไลน์ บก.สส.บช.น. สืบสวนติดตามนำมาสู่การเข้าตรวจค้น ห้องพักเลขที่ 188/130 คอนโดน๊อตติ้งฮิลล์ ถ.แพรกษา ต.ท้ายบ้านใหม่ อ.เมือง จว.สมุทรปราการ ตามหมายค้นศาลจังหวัดสมุทรปราการที่ 762/2565 ลงวันที่ 4 ธ.ค. 65 จับกุมตัวผู้ต้องหาดังนี้
นายสุพรพงษ์ หรือแบงค์ อายุ 31 ปี อยู่ถนนสามเสน แขวงถนนนครชัยศรี เขตดุสิต กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นบุคคลตามหมายจับศาล จ.สุพรรณบุรีที่ จ.236/2565 ลงวันที่ 4 ธ.ค. 65 โดยกล่าวหาว่า “ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น”
พร้อมยึดของกลางไว้ ดังนี้
1.คอมพิวเตอร์ อออินวัน จำนวน 3 เครื่อง
2.โทรศัพท์มือถือจำนวน 9 เครื่อง
3.สมุดบัญชีจำนวน 5 เล่ม
4.ซิมการ์ดโทรศัพท์ 38 ซิม
จับกุมตัวผู้ต้องหาได้ที่ภายในคอนโดย่าน ต.ท้ายบ้านใหม่ อ.เมือง จว.สมุทรปราการ
พฤติการณ์กล่าวคือ ทีมนักวิเคราะห์แผนประทุษกรรมของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์
ผบ.ตร. (มือปราบคอลเซ็นเตอร์) ได้วิเคราะห์ข้อมูลพบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ “กลุ่มใหม่” เกิดขึ้นในข้อมูลระบบการรับแจ้งความออนไลน์ ซึ่งมีรูปแบบการหลอกลวงให้หลงรักก่อน จากนั้นจะชักชวนให้ “ลงทุนและทำภารกิจ” ภายใต้บริษัทปลอมที่ชื่อว่า E-SHIPING.SHOP พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ฯ จึงได้สั่งการให้ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. หรือ หัวหน้าชุด ศปอส.ตร. (PCT) ชุดที่ 5 สืบสวนจนทราบว่าแก๊งดังกล่าวนี้มีอฟฟิศตั้งอยู่ที่ ถ.แพรกษา ต.ท้ายบ้านใหม่ อ.เมือง จว.สมุทรปราการ ซึ่งโดยปกติออฟฟิศของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่หลอกลวงคนไทยจะอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน ไม่มีการตั้งอยู่ในประเทศไทยมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว
ซึ่งต่อมา พล.ต.ต.ธีรเดชฯ ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ชุด PCT5 เข้าตรวจค้น คอนโดฯ ถ.แพรกษา ต.ท้ายบ้านใหม่ อ.เมือง จว.สมุทรปราการ ตามหมายค้นศาลจังหวัดสมุทรปราการที่ 762/2565 ลงวันที่ 4 ธ.ค. 65 ซึ่งเป็นที่ตั้งออฟฟิศแก๊งคอลเซ็นเตอร์ดังกล่าว ผลการตรวจค้นพบนายสุพรพงษ์ หรือแบงค์ ผู้ต้องหา นางสาวทิพวรรณ หรือแหม่ม น.ส.สิริธร หรือแสตมป์และน.ส.คณิณัช หรือแฟง ทั้ง 4 คน อาศัยอยู่ภายในห้องพัก และตรวจค้นพบ คอมพิวเตอร์ 3 เครื่อง , โทรศัพท์มือถือจำนวน 9 เครื่อง , สมุดบัญชีจำนวน 5 เล่ม , ซิมการ์ดโทรศัพท์ 38 ซิม ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลทั้งในโทรศัพท์และคอมพิวเตอร์ทำให้ทราบว่าทั้ง 4 ได้ร่วมกันหลอกลวงโดยมีแผนประทุษกรรมคือ จะสร้างเฟซบุ๊กปลอม (อวตาร)
โดยใช้ภาพโปรไฟล์เป็นสาวสวยแล้วขักชวนเพื่อนในเฟซบุ๊ก กล่าวคือเป็นการพูดคุยเชิงชู้สาวเพื่อชักชวนมาลงทุน โดยเมื่อเหยื่อสนใจ จะเชิญเข้า “กลุ่มไลน์” โดยอ้างว่าเป็นบริษัทที่ชื่อว่า E-SHIPING.SHOP ซึ่งแท้จริงเป็นบริษัทที่ไม่มีอยู่จริง และจากนั้นจะให้คุยกับ อ.กอล์ฟ ซึ่งเป็นตัวตนปลอมที่อุปโลกน์ตนเองว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน หลอกเสนอขายแผนโปรแกรม หลายๆแบบ เช่นการท่องเที่ยว การแต่งงาน แล้วหลอกให้โอนเงินร่วมลงทุนตามแผนงานต่างๆเหล่านั้น เหมือนเป็นการหลอกให้ทำภารกิจโดยอ้างว่าเมื่อเหยื่อโอนเงินมาแล้วทำภารกิจเสร็จจะได้เงินคืนในจำนวนมากกว่าเดิม
โดยภายในกลุ่มไลน์ดังกล่าวจะมีเหยื่ออยู่ในกลุ่มเพียงคนเดียว ที่เหลือจะเป็นหน้าม้าทั้งหมด โดยจะมีการให้หน้าม้าแสร้งสงภาพสลิปการโอนเงินทำทีว่าได้รับเงินจริง แต่แท้จริงเป็นสลิปการโอนเงินปลอม ซึ่งเมื่อเหยื่อเห็นว่าคนในกลุ่มได้รับเงินโอนจริงจะเกิดความโลภและยอมโอนเงินลงทุนในที่สุด และเมื่อเหยื่อโอนเงินแล้วจะทำทีแสดงข้อมูลในโปรแกรมโชว์ยอดรายได้ให้เหยื่อเห็น แต่เหยื่อต้องการถอนเงินก็จะไม่สามารถถอนได้ โดยจะอ้างว่าเหยื่อทำผิดวิธี และจะชักชวนให้ลงทุนเพิ่มไปเรื่อยๆ โดยรูปแบบการวางระบบของแก๊งคอลเซ็นเตอร์กลุ่มนี้เป็นรูปแบบเดียวกับหลายๆแก๊งที่ตั้งออฟฟิศอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน แต่กลุ่มนี้สามารถรวบรัดระบบต่างๆไว้ในห้องๆเดียวด้วยคอมพิวเตอร์เพียง 3 เครื่อง และใช้คนจัดการเพียง 4 คน
ซึ่งมีทั้งการทำระบบหลังบ้าน , ระบบการแบ่งห้องไลน์สนทนา , ระบบแถว 1 ที่การชักชวนเหยื่อ , การปลอมสลิปด้วยเทมเพลตในโปรแกรม Photoshop และอีกหลายขั้นตอน ซึ่งบ่งบอกถึงประสบการณ์และความเข้าใจในการทำแก๊งคอลเซ็นเตอร์เป็นอย่างดี ซึ่งหลังเสร็จสิ้นการตรวจค้น ชุดจับกุมได้ทำการจับกุมตัว นายสุพรพงษ์ หรือแบงค์ ตามหมายจับของศาล นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.หนองหญ้าไซ จ.สุพรรณบุรี ดำเนินคดีตามกฏหมาย และได้นำตัวอีก 3 รายมาซักถามปากคำที่ สภ.เมืองสมุทรปราการ น.ส.คณิณัช จิรโชควนิช หรือแฟง ได้ให้การว่า “ตนเองเคยเป็นพนักงานในแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศกัมพูชา ซึ่งทำจนมีความชำนาญมาก มีความรู้ระดับอาจารย์ แต่ละเดือนตอนอยู่กัมพูชาสามารถทำยอดเงินได้เดือนละเป็น 100 ล้านบาท ยอมรับว่าตัวเองคนเดียวสามารถทำงานได้เหมือนคนหกคนในเวลาเดียวกัน ซึ่งเมื่อทำไปเรื่อยก็เกิดความรู้สึกที่ว่า ทำไมจะไปทำเพื่อรับเปอร์เซ็นต์จากบอสชาวจีนแค่ 3% จึงเกิดความโลภคิดอยากทำเองเพื่อจะได้รับเงินเต็มๆ
โดยระหว่างที่ทำงานเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศกัมพูชา ก็ได้แอบเก็บข้อมูล รูปแบบ สคริปต่างๆของชาวจีน และได้เลือกรูปแบบที่คิดว่าสมบูรณ์แบบเก็บติดตัวไว้ และได้เดินทางกลับมายังประเทศไทยเมื่อประมาณเดือน ก.ย. 65 จากนั้นก็ได้เริ่มทำในประเทศไทยโดยได้จ้างให้ โปรแกรมเมอร์คนไทยที่อยู่ในประเทศกัมพูชา เขียนโปรแกรมให้ ในราคา 60,000 บาท จากนั้นจึงได้ร่วมกับพวกที่อยู่ในห้องอีก 3 คน ทำด้วยกัน โดยส่วนแบ่งรายได้ที่ได้จากการหลอกลวง ตนเองจะได้ 30% , นายสุพรพงษ์ฯ จะได้ 30% , น.ส.สิริธรฯ จะได้ 20% และ นางสาวทิพวรรณฯ จะได้ 20% โดยหวังไว้ว่าตนเองจะเป็นผู้ก่อตั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ของคนไทยเจ้าแรก และจะเป็น Start Up เพื่อขยายกิจการในประเทศไทย แต่ทำได้เพียง 2 เดือนก็มาถูกจับเสียก่อน อยู่ระหว่างติดตามผู้เสียหายโดยจะมีการแจ้งความเพื่อดำเนินคดีกับทั้งหมดตามกฏหมายในเรื่องการฉ้อโกงประชาชนต่อไป
ในชั้นจับกุม นายสุพรพงษ์ หรือแบงค์ ให้การว่า “ตนเองเป็นพนักงานอยู่ในเว็บพนันชื่อว่า UFABET168.net โดยมีเจ้าของเป็นชายไทยที่มีฐานะคนหนึ่ง ซึ่งตอนอยู่ที่กัมพูชา ได้รู้จักและเป็นแฟนกับ น.ส.คณิณัชฯ ซึ่งตอนนั้น น.ส.คณิณัช เคยทำแก๊งคอลเซ็นเตอร์อยู่ที่ประเทศกัมพูชา และเอารูปแบบนั้นกลับมาทำที่ประเทศไทย โดยตนเองก็ร่วมทำด้วยกัน โดยหน้าที่ต่างๆก็จะช่วยกันทำทั้ง 4 คน และเมื่อได้กำไรก็จะนำมาแบ่งกัน”
พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. กล่าวว่า “แก๊งคอลเซ็นเตอร์กลุ่มนี้มีความน่ากลัว
เพราะทั้ง 4 ถือเป็นต้นเชื้อ เป็นระดับหัวกะทิ ที่นำความรู้ความสามารถจากการเป็นพนักงานคอลเซ็นเตอร์ที่ฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน กลับมาตั้งต้นทำในประเทศไทยซึ่งเราจะมีการขยายผลต่อไปจนถึงที่สุด ซึ่งปฏิบัติการในครั้งนี้ถือเป็นการ ตัดไฟแต่ต้นลม ได้อย่างทันท่วงทีซึ่งเกิดมาจากการวางรากฐาน วางระบบไว้อย่างดี ของท่าน พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ซึ่งท่านได้ทำไว้ตั้งแต่สมัยยังดำรงตำแหน่ง รอง ผบ.ตร. เป็นหัวเรือทำสงครามกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์มาเป็นเวลาหลายปี ขอฝากประชาสัมพันธ์ประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากคนร้ายกลุ่มนี้
โดยสังเกตจากภาพอวตาลที่ใช้หลอก โดยแจ้งข้อมูลมาที่ สายด่วน 1441 ตำรวจไซเบอร์ หรือ ศูนย์ ศปอส.ตร. 081-8663000 ผู้เสียหายสามารถแจ้งความผ่านระบบออนไลน์ได้ที่ www.thaipoliceonline.com และขอเตือนขอเตือนประชาชนคนไทยที่ว่างงานอยู่ กำลังตัดสินใจไปทำงานในประเทศเพื่อนบ้าน ส่วนใหญ่ไปแล้วก็เป็น call center และเมื่อใดที่ไปเข้าร่วมแก๊งคอลเซ็นเตอร์แล้ว คุณจะกลับประเทศมาเยี่ยงอาชญากร มิใช่เหยื่อ”
แท็กที่เกี่ยวข้อง อาชญากรรม ,แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ,หลอกลงทุน