อาชญากรรม

โฆษก บชน. เผย “เค ร้อยล้าน” เข้าข่ายบุคคลอันตราย จ่อออกมาตรการป้องกันก่อเหตุซ้ำ

โดย paranee_s

24 ต.ค. 2565

110 views

จากกรณีที่ “เค ร้อยล้าน” บุกศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ป่วนงานหนังสือ โดยโยนกระเป๋าปริศนา พร้อมตะโกน "ระเบิด" ทำผู้มาร่วมงานแตกตื่น วิ่งหนีกันจ้าละหวั่น ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่คุมตัวทันควัน


พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ให้สัมภาษณ์ทีมข่าว ถึงรายละเอียดการดำเนินคดี เค ร้อยล้าน ว่า เมื่อวานนี้หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวเค พร้อมกับดำเนินคดี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 384 ข้อหาผู้ใด แกล้ง บอกเล่าความเท็จให้เลื่องลือจนเป็นเหตุให้ประชาชนตื่นตกใจ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งเป็นคดีลหุโทษ ไม่ต้องทำเรื่องประกันตัว


โดยตำรวจ ได้แจ้งญาติให้พาเค ไปตรวจสุขภาพจิตที่ รพ.จิตเวช ของรัฐบาล แต่ครอบครัว แจ้งความประสงค์พาไปตรวจสุขภาพจิตที่รพ.เอกชน จึงได้อนุญาตให้ปล่อยตัว เพื่อพาไป รพ.สมเด็จเจ้าพระยา ภายหลังที่ตั้งข้อหาเสร็จสิ้นแล้ว


แต่เมื่อทาง บชน. ได้ตรวจสอบพฤติการณ์ของนายเค เห็นได้ว่าเข้าข่ายมีพฤติการณ์เป็นบุคคลอันตราย อาจก่อเหตุได้อีก ขณะนี้จึงเร่งรวบรวมคดีต่างๆ ของนายเค ที่เคยก่อคดีไว้ เพื่อเตรียมจะออกมาตรการ อย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น อาจต้องกักบริเวณ เพื่อไม่ให้นายเค ออกไปก่อเหตุ และ เพื่อความปลอดภัยของประชาชน


ขณะที่กรมสุขภาพจิต เผยหากพบผู้มีความเสี่ยง มีภาวะอันตรายหรือมีความจำเป็นต้องสามารถแจ้งข้อมูลเพื่อดำเนินการตามพระราชบัญญัติสุขภาพจิต พ.ศ. 2551 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562 พร้อมขอความร่วมมือจากทุกฝ่ายไม่ใช้เหตุ ความขัดแย้ง สร้างความรุนแรงในสังคมด้วยการทำร้ายทั้งทางกายและจิตใจแก่ผู้ที่เห็นต่าง


โดยนายแพทย์จุมภฏ พรมสีดา รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า จากการก่อเหตุสร้างความไม่สงบในงานกิจกรรมที่ผู้เข้าร่วมภายในงานจำนวนมาก โดยผู้ก่อเหตุถูกระบุว่ามีอาการทางจิตเวชจนสร้างความกังวลให้กับผู้ที่อยู่ภายในงาน และเกิดข้อคำถามจากสังคมว่าบุคคลที่มีอาการทางจิตนั้นจะได้รับการดำเนินการต่อไปอย่างไรนั้น


กรมสุขภาพจิตขอแจ้งว่า จากข้อมูลกระทรวงสาธารณสุขเมื่อวันที่ 14 กันยายน มีจำนวนผู้ป่วยจิตเวชที่ก่อความรุนแรงรวม 3,815 ราย


โดยในจำนวนนี้มีผู้ป่วยจิตเวชก่อเหตุรุนแรงซ้ำจำนวน 510 ราย ผู้ป่วยทั้งหมดนี้ได้เข้าสู่ระบบการดูแลรักษาของระบบสาธารณสุข แต่สิ่งที่สำคัญคือการช่วยกันเป็นหูเป็นตาที่จะสังเกต พฤติกรรมของบุคคลที่จะนำมาซึ่งความรุนแรง เพราะตามพระราชบัญญัติสุขภาพจิต พ.ศ. 2551 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562 ได้มีการกำหนดกฎหมายเพื่อคุ้มครองประชาชนโดยทั่วไป


ซึ่งตามมาตรา 22 บุคคลที่มีความผิดปกติทางจิตในกรณีใดกรณีหนึ่งดังต่อไปนี้เป็นบุคคลที่ต้องได้รับการบำบัดรักษา

(1) มีภาวะอันตราย

(2) มีความจำเป็นต้องได้รับการบำบัดรักษา โดยมาตรา 23 ผู้ใดพบบุคคลซึ่งมีพฤติการ์ณอันน่าเชื่อว่าบุคคลนั้นมีลักษณะตามมาตรา 22 ให้แจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ พนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจโดยไม่ชักช้า และให้นำผู้ป่วยที่มีความผิดปกติทางจิตส่งสถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์เป็นผู้วินิจฉัยอาการตามมาตรา 27


ดร.พญ.เบ็ญจมาส พฤกษ์กานนท์ ผู้อำนวยการสำนักงานเลขานุการคณะกรมมการสุขภาพจิตแห่งชาติ กล่าวว่า กรณีผู้รับผิดชอบสถานที่คุมขังหรือสถานสงเคราะห์หรือพนักงานคุมประพฤติพบบุคคลที่อยู่ในความรับผิดชอบมีพฤติการณ์น่าเชื่อว่ามีลักษณะ ตามมาตรา 22 ให้นำส่งไปยังสถานพยาบาลของรัฐซึ่งอยู่ใกล้โดยไม่ชักช้า เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและประเมินอาการเบื้องต้นตามมาตรา 27 ได้ทันทีเช่นกัน


แต่ทว่าจากการรายงานผลการดำเนินงานโดยสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการสุขภาพจิตแห่งชาติ ประจำปี 2564 พบว่า มีข้อมูลผู้ป่วยที่เข้าสู่ระบบการบำบัดรักษาทางสุขภาพจิต ตาม พ.ร.บ.สุขภาพจิตฯ ทั้งในและนอกสังกัดกรมสุขภาพจิตมีจำนวนทั้งสิ้น 269 ราย


ในสัดส่วนนี้เป็นผู้ที่ถูกดำเนินการส่งต่อตามพระราชบัญญัติสุขภาพจิต โดยยังไม่ได้ก่อคดีเพียง 59 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 21.93 เท่านั้น แสดงให้เห็นว่าการนำพระราชบัญญัติสุขภาพจิตมาใช้ยังสามารถที่จะเร่งขยายการดำเนินการให้มีความเข้าใจร่วมกันในทุกภาคส่วน โดยทุกฝ่ายต้องรับทราบถึงบทบาทหน้าที่เพื่อช่วยกันควบคุมการเพิ่มขึ้นของความรุนแรงในสังคมต่อไป


นายแพทย์จุมภฏ กล่าวต่ออีกว่า ความขัดแย้งเป็นเรื่องธรรมชาติ ในสังคมที่มีคนอยู่ร่วมกันหลากหลาย การแก้ไขความขัดแย้งมีทั้งในเชิงบวก ซึ่งนำไปสู่การช่วยกันแก้ไขความขัดแย้งไปสู่ระบบที่ดีมากยิ่งขึ้น ส่วนความขัดแย้งเชิงลบจะนำไปสู่ความรุนแรง เกิดความแตกแยก แบ่งฝักแบ่งฝ่าย การป้องกันไม่ให้ความขัดแย้งนำไปสู่ความรุนแรง คือต้องมองความขัดแย้งเป็นเรื่องของระบบ มุมมองหรือทัศนคติ ไม่บ่งชี้ไปที่ตัวบุคคล โดยวิธีการแก้ไขคือการเจรจา การประนีประนอม หรือให้เสียงส่วนใหญ่ตัดสิน ไม่ทำร้ายผู้เห็นต่าง ซึ่งยิ่งจะทำให้ความขัดแย้งขยายวงกว้างไม่มีที่สิ้นสุด


จึงขอวอนสังคมให้ความสนใจต่อเรื่องปัญหาด้านสุขภาพจิต อย่างตระหนักแต่ไม่ตระหนกหรือวิตกกังวลมากจนเกินไป เพราะกฎหมาย


และการดำเนินการในกรณีนี้มีระบุไว้ชัดเจน ซึ่งหากประชาชนพบบุคคลใกล้ชิด หรือบุคคลทั่วไปที่แสดงอาการผิดปกติหรือมีอาการกำเริบ หากมีแนวโน้มความรุนแรงมากและเป็นอันตราย สามารถโทรแจ้งเหตุสายด่วนตำรวจ 191 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ในกรณีที่ไม่รุนแรง สามารถโทรขอคำปรึกษาที่สายด่วนสุขภาพจิต 1323

คุณอาจสนใจ

Related News