น้องสาวฉุนพี่ชายห้ามสูบบุรี่-กระชากผม เลยใช้มีดแทงสวนดับอ้างไม่ตั้งใจแค่ป้องกันตัว

เมื่อวันที่ 23 พ.ค. 65 เวลา 14.00 น. ร.ต.ท.วรเมธ สุวรรณรัตน์ รอง สว. (สอบสวน) สภ.หาดใหญ่ จ.สงขลา รับแจ้งเกิดเหตุพี่น้องทะเลาะวิวาท และแทงกันได้รับบาดเจ็บที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง ในเขตเทศบาลนครหาดใหญ่ จ.สงขลา จึงรุดไปตรวจสอบจุดเกิดเหตุพร้อมด้วย พ.ต.อ.อัครวุฒ ธานีรัตน์ ผกก.สภ.หาดใหญ่, พ.ต.ท.อนุรักษ์ กลางณรงค์ สว.สส. และทีมตำรวจชุดสืบสวน สภ.หาดใหญ่

เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุพบว่าเป็นบ้านสภาพเก่า มุงด้วยสังกะสี ที่หน้าบ้านยังมีกองเลือดอยู่ตรงแคร่ที่นั่ง ส่วนคนเจ็บทราบชื่อ นายบุญฤทธิ์ (สงวนนามสกุล) อายุ 41 ปี หรือ บ่าว โดยทางญาติได้นำตัวส่งโรงพยาบาลหาดใหญ่ไปแล้ว อาการสาหัสเพราะถูกแทงเข้าใต้ราวนมซ้ายด้วยมีดปอกผลไม้ ยาวประมาณ 20 เซนติเมตร 1 แผล แต่เสียชีวิตในเวลาต่อมา

ส่วนผู้ก่อเหตุทราบชื่อ น.ส.กิติยา (สงวนนามสกุล) อายุ 39 ปี หรือ กล้วย ซึ่งเป็นน้องสาวแท้ ๆ ไม่ได้หลบหนีไปไหน ยังคงนั่งปอกกระเทียมอยู่ใต้ต้นมะขามหน้าบ้าน พร้อมกับมีดที่ใช้ก่อเหตุ ทั้งนี้ขณะที่ตำรวจเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ ทุกคนที่อยู่ภายในบ้านก็ยังไม่รู้ว่านายบุญฤทธิ์ เสียชีวิตที่โรงพยาบาลแล้ว

จากการสอบสวน น.ส.กิติยา ให้การอ้างว่า ตอนเกิดเหตุตนกำลังนั่งรับจ้างปอกกระเทียมอยู่ใต้ต้นมะขามหน้าบ้าน และเห็นพี่ชายเพิ่งกลับมาจากกินเหล้ากินเบียร์ข้างนอก ก่อนจะเดินมาพูดกับตนว่า "อย่าสูบบุหรี่" และไม่ทันขาดคำก็ใช้มือกระชากผม และตบตีตน จังหวะนั้นตนก็ใช้มีดปอกกระเทียมที่ถืออยู่ในมือพอดีเหวี่ยงไปที่ตัวพี่ชาย แต่ไม่ได้ตั้งใจที่จะแทง แค่ป้องกันตัว แต่มีดไปโดนพี่ชายจนถูกแทงเข้าที่ใต้ราวนมซ้ายบาดเจ็บ

"ปกติพี่ชายมักจะมีปากเสียงทะเลาะกัน และกับคนในบ้านบ่อย ๆ เขาไม่ได้มีอาชีพอะไรเป็นหลักแหล่ง บางทีก็เก็บหาของเก่าขายบ้าง และเคยถูกจับกุมคดียาเสพติด และอยู่ระหว่างการรายตัว" น.ส.กิติยา กล่าว 

ด้าน นายไตรฤกษ์ (สงวนนามสกุล) อายุ 20 ปี หลานชายที่อยู่ในเหตุการณ์ เล่าให้ฟังว่า สาเหตุมาจากลุงกับป้าทะเลาะกันเรื่องที่ป้าชอบสูบบุหรี่ โดยลุงได้ตะหวาดมาจากในบ้านเพื่อไม่ให้สูบ และเดินออกมาหาป้า จนทะเลาะกัน โดยลุงได้ทำร้ายร่างกายป้าก่อน จึงถูกป้าแทงสวนไป 1 ครั้ง ตนจึงได้เข้าไปห้าม ซึ่งปกติลุงกับป้าคู่นี้ก็มักจะมีปากเสียงกันเสมอ ๆ และที่บ้านอยู่ด้วยกัน 4 คน ทั้งนี้ หลังเกิดเหตุทางตำรวจชุดสืบสวน สภ.หาดใหญ่ ได้นำตัว น.ส.กิติยา ไปสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป