อาชญากรรม

เหยื่อบินลัดฟ้าร้องกองปราบ วอนเร่งจับผัวเมียฉ้อโกง 800 ล้าน เชื่อญาติรู้เห็น แฉซื้อบ้าน-รถหรูเพียบ

โดย chutikan_o

9 ส.ค. 2565

89 views

จากกรณีที่ตำรวจสากลออกหมายแดง ผัวเมียคู่หนึ่ง เมียเป็นคนไทย ผัวเป็นชาวสิงคโปร์ ในข้อหาฉ้อโกงจากการหลอกซื้อขายนาฬิกาและกระเป๋าหรูมูลค่ากว่า 800 ล้านบาท ล่าสุดผู้เสียหายบินตรงมาจากสิงคโปร์ร้องกองปราบฯ เพื่อเอาผิดญาติหญิงไทย เชื่อว่ามีส่วนรู้เห็นและเกี่ยวข้อง


นางสาวศิริวิภา พันสุข หรือ แอน อายุ 27 ปี หญิงไทยภรรยาของชายชาวสิงคโปร์เชื้อสายจีนชื่อ เควิน พี เจียเผิง  อายุ 26 ปี ซึ่งทั้งคู่ถูกตำรวจสากลออกหมายแดง และตำรวจเร่งติดตามจับกุมตัวในข้อหาฉ้อโกงจากการหลอกซื้อขายนาฬิกาและกระเป๋าหรูแบรนด์เนม ผู้เสียหายกว่า 180 คน มูลค่าความเสียหายกว่า 800 ล้านบาท และทั้งคู่หนีคดีในระหว่างประกันตัว


ข้อมูลของตำรวจสิงคโปร์ ระบุว่า ทั้งคู่แอบลักลอบขึ้นตู้คอนเทนเนอร์ขนส่งอาหารสด หลบหนีเข้ามาในประเทศไทย ประมาณวันที่ 28 มิถุนายนที่ผ่านมา จนถึงตอนนี้ยังติดตามตัวไม่ได้ แต่มีข้อมูลว่า ตำรวจไทยเคยเชิญตัวแม่ของนางสาวแอน มาสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับลูกสาวแล้วก่อนจะปล่อยตัวไป

ล่าสุด ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้นางสาวแอนและสามี ได้หลบหนีไปอยู่ที่ประเทศมาเลเซีย


เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ทนายไพศาล เรืองฤทธิ์ พาตัวแทนผู้เสียหาย ซึ่งผู้เสียหายบางรายบินตรงมาจากสิงคโปร์ เพื่อเข้าร้องทุกข์ต่อกองบังคับการปราบปราม ให้ช่วยเร่งรัดติดตามจับกุมตัว 2 ผัวเมีย ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายแดงของตำรวจสากล โดยทางฝั่งเมียเป็นคนไทย และมีญาติอยู่ที่จังหวัดนนทบุรี


ผู้เสียหายเชื่อว่า ญาติของฝ่ายหญิงน่าจะมีส่วนรู้เห็นเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดด้วย เนื่องจากก่อนหน้านี้ทางผู้เสียหายสืบทราบมาว่า ญาติของผู้ต้องหาซื้อทรัพย์สินทางบ้านหรูราคากว่า 60 ล้านบาท และรถยนต์ คาดว่าน่าจะเป็นการนำเงินจากการที่ไปหลอกผู้เสียหายมาซื้อทรัพย์สินส่วนนี้ด้วย



คดีนี้พลตำรวจโทจิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง สั่งประชุมด่วนและพร้อมสั่งให้พนักงานสอบสวนสอบปากคำผู้เสียหาย

กอ

ทนายไพศาล ระบุว่า ผู้ต้องหาทั้ง 2 รายจะมีหมายแดงของตำรวจสากล แต่เพื่อให้ตำรวจไทยมีอำนาจการสืบสวนสอบสวนและจับกุมได้เต็มที่ จึงพาผู้เสียหายมาร้องที่กองปราบฯ



ด้าน พันตำรวจโท ชลิต ทิพย์ธำรง รองผู้กำกับสอบสวนกองปราบปรามฯ กล่าวว่า หลังจากนี้ ตำรวจจะสอบปากคำผู้เสียหายทั้งหมด และรวบรวมพยานหลักฐาน หากพบว่ามีความผิดเกิดขึ้นในราชอาณาจักรไทย ก็จะออกจับ และติดตามตัวผู้ต้องหามาดำเนินคดีในไทย รวมทั้งส่งตัวไปยังทางการสิงคโปร์ดำเนินการตามกฎหมาย

คุณอาจสนใจ

Related News