อาชญากรรม

เหยื่อถูกดูดเงิน 1.4 ล้าน หลังกดลิงก์ ‘สรรพากร’ ปลอม จวกความปลอดภัยแบงก์ เตรียมฟ้องเรียกเงินคืน

โดย chutikan_o

19 ก.ย. 2565

809 views

เจ้าของเงินกว่า 1.4 ล้านบาท ที่ถูกดูดหายไปจากบัญชีจนแทบหมดเกลี้ยง น้ำตาตก หลังเจ้าหน้าที่ธนาคารหลบหน้า ไม่ยอมออกมาพบ ปรึกษาทนายความ และ ปปช.เตรียมฟ้องร้องเอาผิด


จากกรณีที่ นางนิส ไทรงาม อายุ 63 ปี ชาว อ.ห้วยยอด จ.ตรัง พร้อมด้วย น.ส.นิดา ไทรงาม อายุ 35 ปี ลูกสาวนางนิส และ น.ส.ศิริวรรณ ไทรงาม อายุ 36 ปี ลูกสะใภ้ ร้องเรียนผู้สื่อข่าวว่า มิจฉาชีพโทรศัพท์เข้ามาอ้างเป็นเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรแจ้งเรื่องค้างภาษี พร้อมแชทไลน์ส่งลิงก์อ้างเป็นลิงก์เว็บกรมสรรพากร ให้ น.ส.นิดา กดเข้าไปตรวจสอบว่า มีการค้างภาษีหรือไม่ ซึ่งขณะนี้อยู่ในช่วงที่จะต้องยื่นจ่ายภาษี แต่เมื่อกดเข้าไปแล้วโทรศัพท์ค้างขึ้นหน้าจอเป็นสีฟ้า มีโลโก้กรมสรรพากร พร้อมข้อความว่า “668325 อยู่ระหว่างการทำการตรวจสอบชื่อนาม-สกุล ห้ามใช้งานโทรศัพท์” และโทรศัพท์ไม่สามารถทำอะไรได้อีก

จากนั้นปรากฎว่า ในเวลาและนาทีเดียวกันกับที่โทรศัพท์ค้าง ทำธุรกรรมใดๆ ไม่ได้อีกเลย ก็ปรากฎข้อความเงินถูกโอนออกจากบัญชี ธนาคารไทยพาณิชย์ จำนวน 1,458,000 บาท และธนาคารกรุงไทย จำนวน 10,000 บาท รีบประสานติดต่อเจ้าหน้าที่ธนาคาร และเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ห้วยยอด ทราบเบื้องต้นว่าเงินถูกโอนเข้าบัญชีชื่อ น.ส.สุภาพร กุลอามาตย์ และทางธนาคารได้ทำการอายัดบัญชีแล้ว แต่สุดท้ายก็ไม่ทันการณ์ เงินถูกโอนต่อไปยังบัญชีอื่นๆ อย่างรวดเร็ว เมื่อผู้เสียหายเดินทางเข้าพบผู้จัดการธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาห้วยยอด แต่ผู้จัดการธนาคารหลบหน้า ไม่ยอมออกมาพบ หรือแสดงความรับผิดชอบนั้น

ความคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทางครอบครัวผู้เสียหายทั้ง 3 คนนั้น ประกอบด้วย นางนิส น.ส.นิดา และ น.ส.ศิริวรรณ ได้นัดพบกับ นายไกรสร ชูเพชร ทนายความ และ นายยุทธนา วิมลเมือง เจ้าหน้าที่คณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) ตรัง เพื่อให้ช่วยเหลือในการติดตามเงินกลับคืนมา โดยบอกว่า ล่าสุดยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ จากธนาคาร และยังไม่มีความหวังว่าจะได้เงินคืน จึงปรึกษากับทนายความ ทั้งนี้ หลังเกิดเรื่องและเป็นข่าวออกไป ทางตำรวจก็ได้เรียกตัวไปสอบปากคำแล้ว แต่ยังไม่เสร็จสิ้น และมีตำรวจชุดสืบสวนภูธรจังหวัดตรัง เข้าไปสอบถามข้อมูลด้วย

นอกจากนั้น เมื่อเดินทางไปที่ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาห้วยยอด เพื่อขอพบกับผู้จัดการธนาคาร ไปครั้งแรกเจ้าหน้าที่บอกว่าผู้จัดการพักเที่ยง จึงไม่ได้พบ พอตอนบ่าย 2 ทางพนักงานโทรศัพท์มาแจ้งว่า ผู้จัดการมาแล้วให้เข้ามาได้ แต่พอเข้าไปปรากฏว่า ไม่ได้พบผู้จัดการอีก ทำให้ไปเสียเวลาเปล่า ทางเจ้าหน้าที่จึงให้โทรศัพท์ไปที่สายด่วนของธนาคารเพื่อแจ้งปัญหา แต่ไม่คืบหน้า ซึ่งมองว่าทางธนาคารไม่คิดจะช่วยเหลือ หรือเป็นทุกข์ร้อนแทนลูกค้าเลย ทั้งๆ ที่ทางไม่ได้โอนเงินให้บุคคลอื่นไป แต่ทางธนาคารไม่มีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดี ทางธนาคารควรจะรับผิดชอบ

นางนิส กล่าวว่า เงินทั้งหมด 1.4 ล้านบาทนั้น เป็นเงินที่จะต้องนำไปหมุนเวียนซื้อหมูมาจำหน่าย ประมาณ 2 แสนบาท ส่วนที่เหลือเป็นของลูกสาวที่เก็บเงินไว้หวังจะเปิดร้านกิ๊ฟช้อปอยู่กับบ้าน และบ้านก็ทำเสร็จแล้ว ซื้อชั้นวางของมาเตรียมไว้แล้ว แต่จากนี้ไปเงินหมุนเวียนซื้อหมูก็ไม่มี ต้องเอาหมูมาก่อน จ่ายให้ทีหลัง และไม่มีเงินลงทุนซื้อของใส่ร้านใหม่ ดังนั้น ทางธนาคารควรจะรับผิดชอบเงินทั้งหมด เพราะไม่ได้ทำธุรกรรมใดๆ ผ่านแอปฯ ธนาคาร ทำให้ขณะนี้ครอบครัวเดือดร้อนหนัก

ด้าน ทนายความ กล่าวว่า หลังจากรับฟังปัญหาแล้ว คิดว่าเงินจำนวนดังกล่าวที่ถูกดูดออกไปจากบัญชีของ นางนิส นั้น ไม่ใช่เงินของลูกค้า แต่เป็นของธนาคาร เพราะทางลูกค้าไม่ได้เบิกถอนเงินเอง และยังไม่ได้ทำธุรกรรมใดๆ ผ่านลิงก์ที่ถูกส่งมา โดยหลักฐาน คือ หน้าจอมือถือค้าง ทำธุรกรรมใดๆ ไม่ได้ ในช่วงเวลาที่เงินถูกดูดผ่านแอปฯ ธนาคารที่ลูกค้าผูกไว้ ถือเป็นการโจรกรรมเงินผ่านลิงก์ปลอมที่อ้างว่าเป็นของกรมสรรพากร ซึ่งหากธนาคารมีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีพอ ใครก็ไม่สามารถจะเจาะข้อมูลของธนาคารและดูดเงินไปได้ โดยหลังจากนี้ หากคุยกับธนาคารแล้วธนาคารไม่รับผิดชอบ จะแจ้งความดำเนินคดีทางแพ่งกับธนาคาร เพราะเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่ง มาตรา 672 ระบุไว้ชัดเจนว่า ถ้าเราไม่ได้ทำนิติกรรมเบิกถอนเงินจากแบงก์ เท่ากับแบงก์นำเงินไปใช้ แบงก์ต้องรับผิดชอบ และแบงก์ก็ต้องไปดำเนินการกับคนที่ถอนไป และดำเนินคดีอาญาเอาเอง

ส่วน เจ้าหน้าที่ ปปช.ตรัง กล่าวเรียกร้องผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้ลงมาดูแลเรื่องนี้ให้ชาวบ้าน เพราะข้อเท็จจริงที่พบคือ ประชาชนไม่ได้ทำนิติกรรมในการโอน ถอน หรือเอาเงินออกเอง ดังนั้น ในเมื่อประชาชนไม่ได้เป็นคนโอนหรือถอน ก็ถือว่าธนาคารไม่มีสิทธิมาหักเงินของลูกค้า อยากให้ทางธนาคารรับผิดชอบในทันที อย่าให้ประชาชนต้องไปฟ้องร้องดำเนินคดีกับธนาคาร เพราะต้องใช้ระยะเวลายาวนาน ชาวบ้านเองก็ต้องกินต้องใช้ และมีหนี้สินภาระต้องรับผิดชอบ อยากให้ ผบ.ตร.ลงมาดูแลใกล้ชิด เพราะยุคปัจจุบันมีประชาชนตกเป็นเหยื่อจำนวนมาก และธนาคารเป็นผู้เสนอช่องทางแอปพลิเคชันให้ประชาชนใช้ เพื่อจะได้ไม่ต้องเดินทางไปธนาคาร หรือไม่ต้องใช้บัตรประชาชน แต่ระบบรักษาความปลอดภัยการเงินไม่มี ธนาคารจึงต้องเป็นผู้รับผิดชอบ

ขณะที่ นายชัยพร ชูเสน ทนายความชาว จ.ตรัง ให้ความเห็นกรณีที่เป็นเพื่อนบ้านของครอบครัวผู้เสียหายว่า เรื่องนี้ทางธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารกรุงไทย จะต้องรับผิดชอบเงินจำนวนดังกล่าวทั้งหมด ไม่ใช่ผลักปัญหาไปให้กับลูกค้าเจ้าของเงิน เพราะเงินอยู่ในธนาคาร ธนาคารจึงต้องดูแลเงินของลูกค้าให้มีความปลอดภัย เมื่อเกิดความเสียหาย จะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ เปรียบเสมือนคนไปห้างสรรพสินค้า เมื่อรถหาย ทางห้างสรรพสินค้าก็ต้องรับผิดชอบ

คุณอาจสนใจ

Related News