ดีอีเอส เล็งแก้กฎหมาย ‘บัญชีม้า’ เป็นคดี ‘ฟอกเงิน’ ผสานกัมพูชา ลากคอแก๊งคอลเซ็นเตอร์

อาชญากรรม

ดีอีเอส เล็งแก้กฎหมาย ‘บัญชีม้า’ เป็นคดี ‘ฟอกเงิน’ ผสานกัมพูชา ลากคอแก๊งคอลเซ็นเตอร์

โดย nicharee_m

12 ก.พ. 2565

64 views

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการป้องกันปราบปรามและแก้ไขปัญหาอาชญากรรมทางออนไลน์ ครั้งที่ 1/2565 เมื่อวันที่ 11 ก.พ.65 ได้มีการพิจารณาวาระสำคัญ 2 เรื่องหลัก ได้แก่ 1.แนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมาย ในการแก้ปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ และ 2.การแจ้งเตือนประชาชนก่อนโอนเงินและมาตรการแก้ปัญหาบัญชีม้า ตามแนวทางที่สมาคมธนาคารไทยและธนาคารแห่งประเทศไทย นำเสนอต่อที่ประชุม

โดยในส่วนของแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมาย ในการแก้ปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ ปัจจุบัน สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ได้เสนอแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยกำหนดให้พฤติการณ์การเปิดบัญชีม้าเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติดังกล่าวแล้ว โดยระบุไว้ในร่างมาตรา 50 เพิ่มเติมมาตรา 61/3 ว่า ผู้ใดกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ โดยรู้อยู่แล้ว หรือมีเหตุอันควรรู้ว่า การกระทำดังกล่าวจะนำไปใช้ในการกระทำความผิดมูลฐานหรือความผิด ฐานฟอกเงิน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ได้แก่ 1.ใช้ชื่อ บัญชี ข้อมูล เอกสาร บัตรอิเล็กทรอนิกส์ ซิมการ์ดโทรศัพท์ กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์หรือหลักฐานของบุคคลอื่น เพื่อปกปิดตัวตนในการสร้างความสัมพันธ์ทางธุรกิจ หรือทำธุรกรรมกับผู้มีหน้าที่รายงานหรือสำนักงานที่ดิน

2.ยอมให้บุคคลอื่นใช้ชื่อ บัญชี ข้อมูล เอกสาร บัตรอิเล็กทรอนิกส์ ซิมการ์ดโทรศัพท์ กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์หรือหลักฐานของตนเพื่อให้บุคคลอื่นปกปิดตัวตนในการสร้างความสัมพันธ์ทางธุรกิจหรือทำธุรกรรมกับผู้มีหน้าที่รายงานหรือสำนักงานที่ดิน

3.เป็นธุระจัดหา รวบรวม ซื้อ ขาย จำหน่ายบัญชี ข้อมูล เอกสาร บัตรอิเล็กทรอนิกส์ ซิมการ์ดโทรศัพท์ กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์หรือหลักฐานของบุคคลอื่น เพื่อให้บุคคลใดๆ นำไปใช้เพื่อปกปิดตัวตนในการสร้างความสัมพันธ์ทางธุรกิจหรือทำธุรกรรม กับผู้มีหน้าที่รายงานหรือสำนักงานที่ดิน

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อวันที่ 10 ก.พ.ที่ผ่านมา พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร ) หรือ PCT นายเอกสิทธิ์ คุณานันทกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ ผบก.สส.สตม./หน.ชุดปฏิบัติการ ที่ 1, พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.ภ.2 /หน.ชุดปฏิบัติการที่ 5, นำคณะเดินทางไปประเทศกัมพูชา

เพื่อเข้าพบ พล.อ.เซา ซกคา รองผบ.สส.และผบ.สห. พล.ท.เจีย เองยง ผบ.หน่วยข่าวกรองความมั่นคง  พล.ต.เขียว รัฐา รองผู้บังคับการกองกิจการสาธารณะ  พ.อ.เมือง จันโท เลขารอง ผบ.สส.และผบ.สห. ในฐานะผู้แทนฝ่ายรัฐบาลกัมพูชา ณ. Royal Gendarmerrie of Cambodia Head Quarter เมืองพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา เพื่อหารือเรื่องการส่งตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีในราชอาณาจักรไทย

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ เปิดเผยว่า พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. สั่งการให้ขยายผลจับกุมผู้ร่วมขบวนการคอลเซ็นเตอร์ที่เหลือ ซึ่งอาศัยฐานปฏิบัติการอยู่ในประเทศกัมพูชา

คดีนี้สืบเนื่องจากปฏิบัติการบูรพา 491 ทลายคอลเซ็นเตอร์ตัดวงจรส่งคนไทยข้ามแดน เมื่อวันที่ 3 ก.พ. 2565 ที่ผ่านมา พล.ต.ต.ธีรเดช ได้นำกำลังตำรวจ PCT และสืบสวนภาค 2 ปูพรมตะเข็บชายแดนสระแก้ว จับกุมสองสามีภรรยา เครือข่ายคอลเซ็นเตอร์รายใหญ่ ได้ 2 คน อยู่ฝั่งประเทศไทยทำหน้าที่คอยประสานงานกับหัวหน้าแก๊งชาวจีนส่งคนไปทำงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศกัมพูชา โดยได้ขยายผลพร้อมออกหมายจับผู้เกี่ยวข้องอีก 2 แก๊ง รวมทั้งสิ้น 71 หมายจับ ซึ่งอยู่ในออฟฟิศใหญ่ ที่ประเทศกัมพูชา

ภายหลังการร่วมหารือเป็นเวลานานกว่า 1 ช.ม. พล.ต.ต.พันธนะ หน.ชุด PCT ที่ 1 เปิดเผยว่า ได้รับสัญญาณที่ดีจากฝ่ายรัฐบาลประเทศกัมพูชา โดย รอง ผบ.ตร. ได้กล่าวกับ พล.อ.เซา ซกคา ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐบาลไทย มีความต้องการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ รวมถึงอาชญากรรมข้ามชาติทุกประเภท เนื่องจากสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนคนไทยเป็นอย่างมาก และระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชามีการประสานความร่วมมือกันด้วยดีมาโดยตลอด ซึ่งผู้แทนกัมพูชา กล่าวว่าฝั่งรัฐบาลกัมพูชาก็ยินดีให้ความร่วมมือ และฝากความระลึกถึงมายัง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฯ อีกด้วย

ขณะที่พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กล่าวเสริมอีกว่า หลังจากนี้จะมีการเปิดปฏิบัติการร่วมกันระหว่างเจ้าหน้าที่ไทยกับกัมพูชา โดยมีเป้าหมายในการเข้าตรวจค้น 3 จุดหลักๆ ในกรุงพนมเปญและเมืองพระสีหนุ

ด้านนายเอกสิทธิ์ เลขา รมว.ดิจิทัล กล่าวว่า ได้รับมอบหมายจาก นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ให้เดินทางมาปรึกษาหารือ ทำ MOU ร่วมกันระหว่าง 2 กระทรวง คือ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ของประเทศไทย และกระทรวงไปรษณีย์โทรเลขและการสื่อสาร ประเทศกัมพูชา ประสานความร่วมมือในการให้ข้อมูลสนับสนุนการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และ Hybrid Scam

รอง ผบ.ตร. กล่าวอีกว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ได้สั่งการให้เร่งระดมกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ที่สร้างความเดือดร้อนให้กับคนไทย โดยเฉพาะช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19

คดีนี้ภายหลังการเปิดปฏิบัติการและได้ตัวผู้ต้องหาตามหมายจับแล้ว รัฐบาลกัมพูชา จะส่งตัวให้กับทางการไทย ตามแนวทางปฏิบัติในเรื่องการส่งผู้ร้ายข้ามแดนและกฎหมายคนเข้าเมืองต่อไป ทั้งนี้หากพบเบาะแส สามารถแจ้งข้อมูลได้ที่ ศูนย์ PCT 081-8663000 เวลาราชการ หรือ สายด่วน บช.สอท.1441 ตลอด 24 ชม.


รับชมทางยูทูบที่ :https://youtu.be/5wlTumNZxfI

คุณอาจสนใจ

Related News