ท่าทีดังกล่าวมีขึ้น หลังจากที่หลายประเทศทั่วโลก เริ่มผ่อนคลายมาตรการคุมเข้มโควิด

ล่าสุด รัฐบาลสเปนประกาศให้ตั้งแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์ เป็นต้นไป จะไม่มีการบังคับให้สวมใส่หน้ากากอนามัยภายนอกอาคารแล้ว หลังจากที่บังคับใช้มาตรการดังกล่าว มาตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคมที่ผ่าน

ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ มีขึ้นหลังจากที่ ตัวเลขผู้ติดเชื้อในสเปนลดลงเรื่อยๆ โดยอัตราการติดเชื้อลดลงมาอยู่ที่ 1,997 คน ต่อประชากร 1 แสนคน ลดลงจากเมื่อต้นเดือนมกราคมที่ 3,400 คนต่อประชากร 1 แสนคน โดยล่าสุด สเปนมีผู้ติดเชื้อรายวันอยู่ที่ 43,831 คน ติดเชื้อสะสมที่ 10,439,302 คน

ขณะที่ชาติอื่นๆ ในยุโรป ก็ทะยอยผ่อนคลายมาตรการคุมเข้มโควิดลงเช่นเดียวกัน โดยเดนมาร์กได้ยกเลิกมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด ภายในประเทศทั้งหมดไปในวันที่ 31 ม.ค. 65  และยังได้เปลี่ยนสถานะของโรคโควิด โดยโรคดังกล่าวจะไม่ถูกจัดให้เป็นภัยคุกคามต่อสังคม

ส่วนสวีเดนก็ประกาศยกเลิกมาตรการควบคุมโรคโควิดภายในประเทศ โดยนางมักดาลีนา แอนเดอร์สัน นายกรัฐมนตรีสวีเดน ระบุว่า ถึงเวลาแล้วที่สวีเดนจะกลับมาเปิดประเทศอีกครั้ง ทำให้ร้านอาหารสามารถกลับมาให้บริการ โดยไม่มีการกำหนดจำนวนลูกค้าและเวลาเปิดทำการ

ส่วนข้อบังคับการสวมใส่หน้ากากอนามัย ขณะใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะ รวมถึงข้อบังคับแสดงบัตรฉีดวัคซีน จะถูกยกเลิกเช่นกัน

นอกจากนี้ประเทศฝรั่งเศส ไอร์แลนด์ นอร์เวย์ และเนเธอร์แลนด์ ก็ได้ผ่อนปรนมาตรการควบคุมโรคระบาดเช่นกัน แม้ว่าจะยังมีผู้ติดเชื้อสูงอยู่

ความเคลื่อนไหวนี้มีขึ้นหลังจากที่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว องค์การอนามัยโลกได้เตือนว่า ทุกประเทศจะต้องระมัดระวังต่อการระบาดอยู่ และการผ่อนปรนมาตรการต้องค่อยเป็นค่อยไป

นาย ไมเคิล ไรอัน ผู้อำนวยการโครงการฉุกเฉินด้านสาธารณสุขขององค์การอนามัยโลก ได้เตือนว่า ความกดดันทางการเมือง อาจทำให้หลายประเทศเร่งเปิดประเทศเร็วขึ้น ซึ่งการกระทำดังกล่าว อาจนำไปสู่ความรุนแรงของโรค และอัตราการเสียชีวิตที่ไม่ควรเกิดขึ้น

ไมเคิลกล่าวว่า แม้ว่าจะสามารถผ่อนปรนมาตรการต่างๆ เพื่อให้เศรษฐกิจในประเทศเดินหน้าต่อไปได้ แต่การยกเลิกมาตรการควบคุมโรคระบาดในคราวเดียว ยังไม่ใช่คำตอบ อีกทั้งยังมีหลายประเทศที่ยังไม่เข้าสู่ช่วงการแพร่ระบาดสูงสุด ทำให้การยกเลิกกฎต่างๆ ต้องค่อยเป็นค่อยไป โดยเฉพาะในประเทศที่มีอัตราการฉีดวัคซีนต่ำ