รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ต้องการให้ระวังคลัสเตอร์ที่มาจากการสังสรรค์และรวมตัวของคนหมู่มาก ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 เกินหลักหมื่นติดต่อกันเป็นวันที่ 3


วันนี้ (7 ก.พ.) ศบค.รายงานจำนวนผู้ติดเชื้อของไทย 10,470 คน และตรวจด้วย ATK พบผลบวกอีก 4,527 คน รักษาหายเพิ่มขึ้น 8,711 คน  อยู่ระหว่างรักษาตัว 92,784 คน  ในจำนวนนี้มีอาการหนัก 535 คน ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ 102 คน  เสียชีวิตเพิ่ม 12 คน


ตัวเลขระหว่างวันที่ 31 มกราคม- 7 กุมภาพันธ์ กราฟผู้ติดเชื้อมีแนวโน้มกลับมาพุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง จาก ราว 8,000 คน เป็นมากกว่า 10,000 คน โดยเฉพาะ3 วันมานี้ ที่มีผู้ติดเชื้อสูงกว่า 10,000 คน ต่อวัน


นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า ข้อมูลการสอบสวนโรคพบว่า ส่วนใหญ่ มาจากการสังสรรค์ หรือการรวมตัวคนหมู่มาก แต่ถ้าเทียบ สัดส่วนถือว่า ผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตลดลง จากช่วงที่ระบาดครั้งก่อน โดยผู้เสียชีวิตทั้งหมดกว่า 80% ไม่ได้รับวัคซีน ซึ่งตัวเลขทั้งหมดนี้นายอนุทิน ยืนยันว่ากระทรวงสาธารณสุขรายงานตามสถานการณ์ที่เป็นจริง ไม่มีการบิดเบือน และมั่นใจในมาตรการควบคุมโรคของไทย


ทางด้าน นายแพทย์ทวีทรัพย์ ศิรประภาศิริ ผู้ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค เปิดเผยผลการศึกษาประสิทธิภาพของวัคซีนโควิด-19 จากการใช้งานจริง ในเดือนกรกฎาคมถึงเดือนธันวาคม 2564 แบ่งเป็นกรณีกลุ่มผู้สัมผัสเสี่ยงสูงได้รับวัคซีนครบสองเข็มมีประสิทธิภาพป้องกันการติดเชื้อได้ 65%และป้องกันการป่วยรุนแรงหรือการเสียชีวิตได้ 88% / ขณะที่ในกลุ่มผู้สัมผัสเสี่ยงสูงที่ได้รับวัคซีนครบสามเข็ม มีประสิทธิภาพป้องกันการติดเชื้อได้ 94% และป้องกันการป่วยรุนแรงหรือการเสียชีวิตได้ 98%


สำหรับบรรยากาศการฉีดวัคซีนเด็กกลุ่มบกพร่องพัฒนาการและสติปัญญา ที่สถาบันราชานุกูล เป็นไปด้วยความเรียบร้อย แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า เด็กในกลุ่มนี้ มีสถิติเข้ารักษาในโรงพยาบาลสูงกว่าคนทั่วไป ที่สำคัญย่อมส่งผลต่อพัฒนาการถดถอย หากติดเชื้อโควิด ก็อาจส่งผลให้เกิดอาการรุนแรงหรือเสียชีวิตได้ จึงจำเป็นต้องได้รับวัคซีนโดยเร็ว ที่ผ่านมาได้ฉีดวัคซีนให้แก่ ผู้ที่มีสติปัญญาบกพร่องออทิสติก และสมาธิสั้น อายุ 18 ปีขึ้นไป จำนวน 3,880 คน และในเด็กอายุ 12-17 ปี จำนวน 269 คน (เฉพาะกลุ่มเด็กพิเศษเข็ม 1) และไม่ยังไม่พบว่ามีผลข้างเคียงรุนแรงใดๆ


ขณะที่โรงพยาบาลศรีธัญญา เปิดให้ผู้ต้องการฉีดวัคซีนไฟเซอร์เข็มที่ 1ถึงเข็มที่ 4 สามารถลงทะเบียนเข้ารับการฉีดได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย เพียงเตรียมบัตรประชาชน และ หลักฐานการฉีดวัคซีนเข็มก่อนหน้า เปิดลงทะเบียนจนถึงวันที่ 11 กุมภาพันธ์นี้